องค์ชายสิบห้าเสด็จตรวจตราการวาดภาพของจิตรกรทั้งเก้าชั้นของวิหารโดยทอดพระเนตรจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง สุดท้ายทรงหยุดพระบาทที่ด้านหลังร่างผอมเล็กที่ตั้งใจตวัดพู่กันโดยมิได้หันมาทักทายพระองค์เช่นจิตรกรผู้อื่น
‘ช่างเป็นเด็กที่ดื้อรั้นเสียจริง!’ แม้จะทรงหงุดหงิดพระทัยที่นางเหมือนจะมิได้ใส่ใจพระองค์เช่นเดียวกับผู้อื่น หากแต่ก็รู้ว่านางมิได้เสแสร้ง ฝีเท้าของพระองค์หากตั้งใจจะทำให้เบาเสียงก็ทำได้เบายิ่งอย่างที่ผู้ฝึกวรยุทธ์สามารถทำได้ ยามนี้ดูเหมือนนางจะจดจ่อที่อยากจะทำงานนี้ให้เสร็จโดยไว
เมื่อองค์ชายเห็นว่านางเริ่มลดพู่กันลงจึงเอ่ยทักทาย “ช่วงนี้เจ้ามิต้องกลับไปนอนพักกลางวันแล้วหรือ?”
เผยมู่ซีได้ยินเสียงคุ้นเคยอยู่เหนือศีรษะก็เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าของหมิงเฉิงอวี่ก้มลงมาพอดี ดวงตาของนางอยู่ตรงตำแหน่งเดียวกับพระเนตรขององค์ชาย ทั้งสองสบตากันในลักษณะกลับหัวกลับหาง เผยมู่ซีวางพู่กันลงแล้วหันมาคารวะองค์ชายพอเป็นพิธี
“ร่างกายหม่อมฉันดีขึ้นมากแล้ว ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย”
น้ำเสียงและใบหน้าของเด็กหญิงตรงหน้ามิได้ดูซาบซึ้งอย่างคำกล่าว นางเพียงพูดพอเป็นพิธี หมิงเฉิงอวี่บอกไม่ถูกว่าเหตุใดจึงรู้สึกอยากให้นางแสดงท่าทีเป็นมิตรกับตนอย่างที่นางทำกับจิตรกรผู้อื่นบ้าง?
เผยมู่ซีก้มหน้าลงเล็กน้อย นางไม่อยากแสดงสีหน้าเกลียดชังให้องค์ชายได้เห็น ยามนี้นางนึกกังขาว่าผู้ใดกันที่ลงมือฆ่านางเมื่อชาติที่แล้ว แม้ความร้อนอกร้อนใจจะสุมข้างในจนเดือดปุดแต่นางก็รู้ตัวว่ายามนี้ยังลงมือทำสิ่งใดไม่ได้ แต่นางก็ตัดสินใจแล้วว่าตนเองจะต้องกลับเข้าไปในเมืองหลวงอีกครั้งเพื่อสืบเสาะหาผู้บงการตัวจริงให้จงได้!
“เจ้าทำงานให้ข้ามานานวันแล้ว ยังมิได้ไปเยือนเรือนของเจ้าสักครา เห็นทีวันพรุ่งนี้ข้าคงต้องไปเยือนจวนสกุลชิงเสียหน่อย”
เผยมู่ซีเผลอเงยหน้าขึ้นมององค์ชายอย่างเสียมารยาท “ไปจวนหม่อมฉัน! ไปทำไมกันเพคะ?”
หมิงเฉิงอวี่เห็นคนร่างเล็กทำหน้าตะลึงก็รู้สึกพอใจ ใครใช้ให้นางเอาแต่ก้มหน้าในยามพบเจอเขาเล่า? คราวนี้เขาจะทำให้เด็กน้อยได้รู้ว่าการทำตัวโอหังต้องได้รับผลเช่นใด?
“ข้าก็แค่อยากไป เจ้าจะมีปัญหาทำไมกัน? หรือว่าข้าควรจะไปเย็นนี้เลย?”
“ยะ อย่าเลยเพคะ วันพรุ่งนี้ดีกว่า ไปวันนี้ท่านแม่หม่อมฉันเตรียมตัวไม่ทันก็อาจจะไม่สบายใจที่ต้อนรับองค์ชายได้ไม่เต็มที่”
“ดี! เช่นนั้นเท่ากับเจ้ารับปากข้าแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปกินข้าวมื้อเย็นที่จวนของเจ้า บอกจังฮูหยินให้เตรียมตัวต้อนรับข้าด้วยก็แล้วกัน”
เผยมู่ซีโกรธจนแทบจะหน้ามืด คนผู้นี้กล้าดีอย่างไรถึงได้สั่งถึงแม่นางให้รอต้อนรับ ช่าง...ช่างหน้าหนาหน้าทนเสียจริง!
องค์ชายสิบห้าเห็นอาการกำหมัดตัวสั่นน้อยๆ ของชิงหลานแล้วรู้สึกพอพระทัย ในที่สุดพระองค์ก็ได้เห็นยามที่เด็กหญิงผู้นี้โกรธเกรี้ยวขึ้นมาแล้ว ดูท่านางคงจะเกลียดพระองค์มากเทียว หากเป็นผู้อื่นได้ยินเช่นนี้คงยินดีอย่างยิ่งที่องค์ชายจะไปเยือนถึงเรือนแต่กับนาง...สาวน้อยสกุลชิงผู้นี้ช่างแปลกนัก!
เผยมู่ซีในร่างชิงหลานกำลังคิดจะหาวิธีกราบทูลเบี่ยงเบนความสนใจมิให้องค์ชายคิดอยากไปเรือนตนแต่พอคิดหาข้ออ้างได้แล้วกลับพบว่าองค์ชายสิบห้าเสด็จลับไปในอาคารด้านข้างเสียแล้ว นางไม่กล้าตามเสด็จไปเพราะเห็นว่ามีขุนนางหลายคนกำลังตามเข้าไปปรึกษาหารือข้อราชการ
“เสี่ยวลิ่ง เจ้าได้ยินหรือไม่? องค์ชายคิดจะเสด็จจวนของพวกเราวันพรุ่งนี้”
“ได้ยินเจ้าค่ะ! น่าตกใจจริงนะเจ้าคะ แล้วนี่พวกเราต้องทำอาหารชนิดใดให้พระองค์เสวยเล่า?”
“กลับจวนแล้วค่อยปรึกษาท่านแม่เถอะ ว่าแต่ข้าหมดอารมณ์จะวาดภาพแล้ว เจ้าเก็บของที พวกเราไปแวะซื้อไก่ไปนึ่งกินแก้โมโหสักตัวก่อนก็แล้วกัน”
จังฮูหยินเห็นเสี่ยวลิ่งที่สะพายกล่องไม้ใส่อุปกรณ์วาดภาพของบุตรสาวและหิ้วไก่ที่ชำแหละแล้วตัวหนึ่งเข้ามาถึงหน้าเรือนก็ร้องทัก
ชาติก่อนแม้แต่ภาพวาดขององค์ชายนางก็มิเคยได้เห็น นับตั้งแต่หมั้นหมายจนถึงวันที่รถม้าตกหน้าผานางไม่เคยรู้เลยว่าใบหน้าของว่าที่พระสวามีของตนเป็นเช่นใด? แต่ชาตินี้ที่หมดสิ้นวาสนาต่อกันแล้วเหตุใดจึงต้องมาเผชิญหน้ากันหลายครั้งหลายหนจนกลายเป็นระยะกระชั้นชิดเช่นนี้
“หม่อมฉันเดินกลับได้เพคะ องค์ชายทรงนั่งรถม้าไปเถิด”
เผยมู่ซีไม่อยากจะนั่งรถม้านัก ตอนที่นางนั่งกลับจากเมืองหลวงเมื่อครั้งไปรักษาตัวนั้นก็อาศัยดื่มยาแล้วนอนหลับตลอดเส้นทาง ความทรงจำที่ต้องตายในรถม้ายังคงหลอกหลอนนางอยู่ นางไม่ชอบความคับแคบในรถม้ามันทำให้นางรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก ครั้งนั้นถ้าท่านหมอเกามิได้ให้ยาที่ทำให้นางนอนหลับสนิทก่อนเดินทาง นางก็คงไม่อาจนอนในรถม้ากลับมาอำเภอเฉินได้ ความลับข้อนี้มีเพียงคนมารดาและเสี่ยวลิ่งเท่านั้นที่ล่วงรู้แต่คนทั้งสองก็หาสาเหตุมิได้!
“ข้ามิทำอันตรายเจ้าดอก? เหตุใดจึงไม่ยอมขึ้นรถม้าแต่โดยดี?” องค์ชายเริ่มหน้าพระพักตร์ตึง ด้วยฐานะของพระองค์แล้วยากที่จะยอมให้ผู้ใดปฏิเสธ
“องค์ชายเพคะ หม่อมฉันไม่อยากนั่งรถม้าจริงๆ เพคะ ขอให้หม่อมฉันเดินกลับจวนเถิด”
หมิงเฉิงอวี่ได้ยินสาวน้อยปฏิเสธอีกคราก็หงุดหงิดจึงประชิดเข้ามาแล้วก้มลงอุ้มนางเดินขึ้นบันไดรถม้าในทันที ร่างเล็กบางลอยขึ้นอยู่ในอ้อมแขนพระองค์อย่างง่ายดาย เผยมู่ซีหลับตาปี๋เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังถูกอุ้มขึ้นบันไดรถม้าคันใหญ่ สองมือนางกำหมัดแน่นจนเหงื่อชื้น เปลือกตาสั่นระริกๆ ในหัวนางคล้ายกับหลุดเข้าไปในเวิ้งความมืดมนที่หาที่สุดมิได้
องค์ชายทรงวางร่างนางลงที่นั่งด้านข้างแต่นางยังคงหลับตาและกำหมัดนิ่งจนดูคล้าย....จะเกร็งร่างมากขึ้น
“ชิงหลาน เจ้าเป็นอันใด?”
*******************
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย(มีEbook)