“ฉีหลัวซานคุณแซ่‘เหลิง’หรือเปล่า? ” เหลิงหยุนฉีมองเธอด้วยความเฉยเมย ดวงตาของเธอราบเรียบ และไม่มีความโกรธใด ๆ
“ห๊ะ? “ฉีหลัวซานไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร และสีหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง
“คุณไม่ได้แซ่เดียวกับฉัน แล้วยังมีหน้ามาให้ฉันไปขอโทษแทนคุณเหรอ?” เหลิงหยุนฉีรู้สึกว่าอีกฝ่ายควรจะไปเรียนตรรกะและความรู้ด้านจริยธรรมมาใหม่
แย่จริง ๆ
ตนเองทำความผิด ไม่คิดจะไปขอโทษคุณชายเฉียวเอง แต่มาตามตื๊อเธอทุกวัน นี่มันอะไรกัน? ? ?
สมองล่ะ?
สมองเป็นของดี ทิ้งไม่ได้น่ะ!
“ฉัน!” ในที่สุดฉีหลัวซานก็เข้าใจคำพูดของเหลิงหยุนฉีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเขียวอมม่วง ซึ่งปกติเธอที่เป็นคนที่พูดจาคล่องแคล่ว แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว
พวกคนที่นั่งกระจายอยู่ตำแหน่งอื่น ๆ ในบาร์ และด้วยท่าทางที่น่าสงสารของเธอ ทำให้คนพวกนั้นรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และจู่ ๆ ก็พูดอะไรไม่ออก สมองได้รับการกระทบกระเทือนเหรอ? ถึงได้เห็นอกเห็นใจคนแบบนี้?
ตนเองเป็นคนทำผิด แต่จะให้คนอื่นไปออกหน้าแทน?
พวกเขาล้วนได้รับการศึกษาภาคบังคับเก้าปี และเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แค่คิดก็รู้ว่าวงจรสมองของบุคคลนี้มีปัญหา แล้วเธอยังเป็นผู้หญิงจอมวางแผน! ซึ่งเธอเจตนามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่!
เดิมทีฉีหลัวซานคิดว่าตนเองก้มหัวและขอร้องต่อหน้าคนมากมาย ถึงแม้เหลิงหยุนฉีจะหยิ่งสักแค่ไหน แต่ก็กลัวที่จะถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนเลือดเย็น ไม่สนใจความรู้สึกและซ้ำเติมเพื่อนนักเรียน
แต่ใครจะไปรู้ อีกฝ่ายกลับไม่ทำตามที่มันควรจะเป็น
เห็นได้ชัดว่าไม่มีคำหยาบแม้แต่คำเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นเธอยังคงนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเก้าอี้ และไม่เคลื่อนไวแม้แต่น้อย แต่สายตาที่มองมาจากรอบ ๆ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอถูกเปลื้องผ้าในที่สาธารณะ และสุดท้ายไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้น
“โอ๊ย~~~~~~” รู้สึกอับอายและโมโห ประกอบกับความตื่นตระหนกที่ครอบครัวล้มละลาย ทำให้เธอวิตกกังวลจนร้องไห้ออกมา ไม่สนใจภาพลักษณ์อีกต่อไป คราวนี้เธอรู้สึกสิ้นหวังและชีวิตพังทลายอย่างแท้จริง ไม่มีความเสแสร้งเหลือแม้แต่น้อย
เหลิงหยุนฉีหยิบเบียร์ที่อยู่บนโต๊ะด้วยความเบื่อ แล้วจิบอย่างช้า ๆ
มองคนที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ—
“ที่นั่นเสียงดังมาก ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงสงสัยดังมาจากประตู
ดูเหมือนว่าคนที่เดินเข้ามานั้นจะมีจำนวนไม่น้อย
เหลิงหยุนฉีรู้สึกว่าเสียงร้องไห้ของ ฉีหลัวซานน่าเกลียดมาก เธอร้องไห้เหมือนเสียงหอน และไม่ได้สนใจเสียงที่ดังมาจากประตูมากนัก โจวหยุนรู้สึกรำคาญ ฉีหลัวซานที่อยู่ด้านข้าง เธอจึงหันไปมองทางประตู
เมื่อเธอเห็นหนุ่มหล่อหน้าตาคุ้นเคยอยู่กลางฝูงชน เธอก็นั่งตัวตรงทันที แล้วใช้มือขวาตบตรงที่นั่งของเหลิงหยุนฉี
“เพื่อน!!! รีบมาดู!!!”
ปกติแล้วคนที่สามารถทำให้โจวหยุน แสดงท่าทางตื่นเต้นแบบนี้จะต้องเป็นหนุ่มหล่อ เพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ ต่างมองตามเธอด้วยความสงสัย
เหลิงหยุนฉีเป็นคนสุดท้ายที่มองไปทางประตู...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่เป็นนางร้าย เอ๊ย! นางเอก