“พี่ซี กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?”
หลังจากที่รถเคลื่อนตัวจากไปแล้ว เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็กำกล่องใส่อาหารไว้ในมือแน่น เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างเขินอาย
อานฉุนซีมักช่วยเธอเป็นประจำ เธอเองก็ไม่มีสิ่งใดไปตอบแทน แม้อาหารเช้าเล็กน้อยนี้จะไม่ได้มีค่านัก แต่ก็นับว่าเป็นน้ำใจของเธอ
“ยัง......ยังไม่ได้กิน” อานฉุนซีเป็นผู้เฉลียวฉลาด เมื่อเห็นเธอเอ่ยเช่นนี้ ต่อให้กินแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้
เขาเห็นในมือเสี่ยวเนี่ยนถือกล่องข้าวเอาไว้ จึงรู้ว่าเธอนำมาให้สวี่เจียน คาดไม่ถึงว่าจะมีของตนด้วย เขาจึงรู้สึกดีใจแล้วรีบหยุดรถลงข้างทางทันที
“ฉันทำเกี๊ยวซ่ามา ไม่รู้ว่าจะถูกปากนายหรือเปล่า?”
“ต้องถูกปากผมอย่างแน่นอน! ต่อให้เธอเอายาพิษให้ผมกิน ผมก็ยินดีที่จะกินมัน”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงเผยอมุมปากยิ้ม รอยยิ้มนั้นช่างบริสุทธิ์ ริมฝีปากเรียวบางของเธอช่างดึงดูดใจยิ่งนัก
อานฉุนซีมองไปด้วยความหลงใหล เขารับกล่องข้าวนั้นมาด้วยท่าทางดีใจ แต่กลับถอนหายใจว่า “คิดไม่ถึงเลยนะว่า ผู้หญิงที่ไม่มีทางทำอาหารให้ผมกินแน่ ๆ ในวันนี้กลับนำอาหารมาให้ผมกินประทังความอยาก”
“ฉันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนแกล้งทำเป็นโกรธ เธอเอื้อมมือไปจะหยิบกล่องอาหารคืนมา “พี่ซี งั้นก็ไม่ต้องกิน”
“โธ่ เสี่ยวเนี่ยน อย่าทำแบบนี้สิ!” อานฉุนซีปัดมือเธอออกแล้วบ่นว่า “เธอไม่ยินดีจะทำอาหารให้ผมกินทั้งชีวิต แล้วยังจะเอาอาหารมื้อนี้คืนไปอีก เธอนี่เลือดเย็นเหลือเกิน!”
กล่าวจบ เขาก็รีบแย่งเอาเข้าปากไปเคี้ยวอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะกลืนลงท้องส่งเสียงดังว่า “อืม อร่อย! ทั้งหอมทั้งกรอบ”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเถียงสู้เขาไม่ได้ จึงยื่นมือไปแย่งกล่องใส่อาหารมา
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนหลบไปด้านข้างอย่างคล่องแคล่ว เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่ทันระวังจึงทำให้ล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา เธอตกอกตกใจเสียจนสมองแทบระเบิด ใบหน้าขาวผ่องแดงเรื่อขึ้นทันที
อานฉุนซีเม้มปากของตนแล้วกลืนน้ำลายลงคอ หัวใจของเขาเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ
เขาไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินเธอ แต่ก็ไม่กล้าผลักเธอออกไป ร่างกายของหญิงสาวอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก พิงอยู่ตรงแผ่นหน้าอกอันหนาแน่นของเขา มีเพียงเสื้อผ้าบาง ๆ มาขวางกั้น สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นของหัวใจ ช่องว่างระหว่างทั้งสอง ทำให้เขาได้กลิ่นกายเธออ่อน ๆ
“คุณนายคะ สิบเมตรข้างหน้าเป็นรถของอานฉุนซี”
รถหรูคันหนึ่งขับตรงเข้ามา ผู้ช่วยหญิงเอ่ยเตือนคุณนายแล้วชะลอความเร็วรถลง
เซี่ยจิ่นกำลังดูมือถืออยู่พอดี เธอจึงถ่ายรูปเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของอานฉุนซีได้หลายใบ ก่อนจะแอบพึมพำว่าสองสามีภรรยานี่ช่างหวานชื่นกันจริง ๆ
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ร่างของเธอเหยียดตรงทันทีแล้วมองออกไปที่นอกหน้าต่าง
“นี่ เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน ต้องอายขนาดนี้เลยเหรอ?” อานฉุนซีเคี้ยวเกี๊ยวในปากแล้วเย้ยเธออย่างขำขัน “ก็บอกแล้วไงว่าเราเป็นพี่น้องกัน มีกายแตะเนื้อต้องตัวกันบ้างจะเป็นไรไป? อีกอย่าง ผมไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย”
เขาพูดคำว่า “พี่น้อง” ออกมาอย่างตั้งใจ และนี่คือจุดเด่นของอานฉุนซี เขาค่อนข้างเฉลียวฉลาด ถึงอย่างไรเขาก็เคยรักเธอมาก่อน อานฉุนซีเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่อาจลบไปจากใจเขาได้ การเป็นพี่น้องกันดีกว่าเป็นไหน ๆ อย่างน้อยก็สามารถเจอหน้ากันได้บ่อย ๆ
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่ได้พูดอะไรออกมา ในใจเธอกระสับกระส่าย
เซียวเซิ่งคงไม่ให้เธอไปถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายคนอื่นอย่างแน่นอน แม้เธอจะไม่ได้คิดทำตามที่เขาบอกทุกประการ แต่ก็กลัวว่าเขารู้เข้าแล้วจะโมโห......
“สามีเธอไม่รู้หรอกน่า” อานฉุนซีมองเธอด้วยท่าทางทะนุถนอม เขากินด้วยท่าทางสง่า “เสี่ยวเนี่ยน ต่อแต่นี้ถ้าได้เจอกันอีกช่วยทำเกี๊ยวนี้ให้พี่กินอีกได้ไหม? พี่ซีกินแล้วติดใจจริง ๆ เธอต้องรับผิดชอบนะ”
ไห่ถังทำอาหารมากมายนับไม่ถ้วนให้เขากิน แต่เขากลับชื่นชอบเกี๊ยวธรรมดาเลิศรสนี้ ดุจดั่งอาหารจากสวรรค์
“ถ้ามีเวลา......ก็ได้ค่ะ” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนมองไปยังกล่องอาหารอีกกล่อง อารมณ์ของเธอดูแย่ลง สวี่เจียนให้เธอทำเกี๊ยวนี้อีก ผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดเธอก็ทำมัน แต่ว่า......
หลังจากทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งเจ้าภาพและแขกต่างพากันนั่งลง
“แม้ว่าผมกับเสี่ยวเนี่ยนจะมีความสัมพันธ์เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ต่างอะไรไปจากน้องสาวแท้ ๆ เลย” อานฉุนซีอธิบายตัวตนและความสัมพันธ์ออกมาอย่างชัดเจน “ตามที่อาจารย์ได้มอบหมายหน้าที่ ผมจึงได้พาเธอเดินทางมาเข้าเยี่ยมรองผู้บัญชาการสวี ประการแรกเพื่อเป็นการขอบคุณในหลายปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเขาดูแลน้องสาวผมมาตลอด ประการที่สองผมหวังว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้น จะจบอย่างดีได้อย่างไร”
เมื่อผู้บัญชาการได้ยินประโยคนั้นก็ยิ้มขึ้นจากใจจริง “ได้เลยครับ แต่ก่อนที่พวกคุณจะเข้าพบรองผู้บัญชาการสวี ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะสนทนากับ ภรรยาคุณเซียวเซิ่งเป็นการส่วนตัว คุณว่า......”
“ถ้าอย่างงั้นผมขอตัวก่อน” อานฉุนซีลุกขึ้นอย่างรู้งาน เขาหันไปกำชับด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “ขออย่าได้ทำให้เธอต้องหนักใจ และอย่าพูดเรื่องอะไรที่หนักหนา น้องสาวของผมเธอหน้าบาง พวกเราทุกคนล้วนทะนุถนอมเธอเป็นอย่างดี ไม่อยากให้เธอต้องได้รับความรู้สึกหนักอึ้งแม้แต่น้อย”
“ดูหนุ่มสาวสมัยนี้พูดเข้าสิ เรื่องแค่นี้คิดว่าผมไม่เข้าใจหรือไง คุณนายเซียวช่างงดงามดุจดั่งเทพธิดาแบบนี้ ใครบ้างที่ไม่ทะนุถนอมเธอ”
ผู้บัญชาการยิ้มโดยที่หางตาไม่ขยับ เขารู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาต้องการให้เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนช่วยเหลือ เขาเองก็ไม่กล้าที่จะทำให้เซียวเซิ่งขุ่นเคือง ดังนั้นจะต้องเอาอกเอาใจเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเอาไว้ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
อานฉุนซีก็ยิ้มขึ้นเช่นกัน เขาเอนกายโน้มตัวไปข้างหูของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกล่าวว่า “คนเดียวไหวไหม?”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพยักหน้าให้เขาเป็นความหมายว่าให้เขาวางใจได้ อานฉุนซีจึงเดินจากไปพร้อมปิดประตูลง
ผู้บัญชาการทำการชงชาปี้หลัวชุนหลังฝนชั้นดี แล้วใช้มือสองข้างประคองออกไปวางไว้ตรงหน้าเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน รอยยิ้มนั้นช่างดูเป็นมิตร “คุณนายเซียวดื่มชาก่อนสิครับ ลองชิมฝีมือของผมว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบคุณค่ะ” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนยิ้มตอบด้วยดวงตาอันสดใสเผยฟันขาวผ่อง นิ้วที่เรียวยาวเอื้อมมือมาสัมผัสกับถ้วยน้ำชานั้น ริมฝีปากเรียวบางจิบช้า ๆ เบา ๆ เป็นการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนเหลือเกิน
ผู้บัญชาการแอบถอนหายใจ แม่หนูคนนี้ช่างงดงามเหลือเกิน คิ้วของเธอได้รูปโดยไม่ต้องเติมแต่ง ริมฝีปากแดงเรื่อธรรมชาติ ดวงตาคู่นั้นช่างสดใสอย่างน่าตกตะลึง ใบหน้าขาวผ่องอ่อนหวาน ต่อให้เธอโกนผมออกจนสิ้นก็ไม่ส่งผลใด ๆ ดูเหมือนจะทำให้หน้าตาโดดเด่นขึ้นเสียด้วยซ้ำ
มิน่าล่ะ แม้แต่ชายหนุ่มรูปงามระดับแนวหน้าเช่นเซียวเซิ่งก็หลงใหลในตัวเธอ เมื่อได้เห็นในวันนี้เขาก็รู้สึกชื่นชมในความงดงามจากธรรมชาติของเธอนั้น
บุรุษใดก็ล้วนเป็นผู้ชื่นชอบความงามในนารี แม้แต่ผู้บัญชาการซึ่งปีนี้อายุปาเข้าไปหกสิบแล้วก็ตาม ในใจของเขารู้สึกเสียดาย จงเสี่ยฮวาช่างไม่มีวิสัยทัศน์เสียจริง สะใภ้ที่งดงามแบบนี้ทำไมถึงไม่เอากัน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น