“เป็นชาชั้นดีจริงด้วยค่ะ”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนวางแก้วลงเบา ๆ แล้วหันไปยิ้มแก่เจิ้งอี้อย่างมีมารยาท “ชานี้เมื่อจิบเข้าไปช่างสดชื่นกลมกล่อม รสชาติหอมอยู่ในลำคอ อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ เห็นได้ชัดว่าคุณมีทักษะในการชงชาเป็นอย่างดี คุณไป๋ช่างเก่งกาจทั้งในหน้าที่การงานและสง่างามน่าชื่นชมจริง ๆ นะคะ”
“คุณนายเซียว ชมกันเกินไปแล้วล่ะครับ”
ไป๋จิ่งอี้ถูกชมเสียจนตัวลอย แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิจงเสี่ยฮวา ดูการสนทนาของแม่หนูคนนี้สิ ช่างดูสง่างามกว่าภรรยาท่านทูตเสียอีก ตาบอดหรือไรกัน ถึงได้ผลักไสไล่ส่งสะใภ้ดี ๆ แบบนี้ ยายเฒ่าเอ้ย!
“ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการมีอะไรจะพูดกับฉันเหรอคะ?” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกลัวว่าเกี๊ยวนั้นจะเย็นเสียก่อน เธอแตะกล่องอาหารดูพบว่ายังอุ่นอยู่เล็กน้อยจึงวางใจและถอนหายใจออกมา
ผู้บัญชาการเห็นท่าทางอันใส่ใจของเธอดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ “เรื่องของคุณกับสวี่เจียนผมรู้สึกเสียดายมากจริง ๆ สวี่เจียนทั้งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผมและก็ถือว่าเป็นลูกหลานผมด้วย ผมก็หวังว่าเขาจะมีความสุข แต่เรื่องของพวกคุณสองคนมันยากที่จะกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีกแล้ว ผมแค่อยากจะบอกว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่สองคนจะได้พบหน้ากันแบบส่วนตัว อะไรที่อยากจะพูดก็อย่าเก็บเอาไว้เลย......”
ครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกันแบบส่วนตัว......
จู่ ๆ หัวใจของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็รู้สึกเจ็บแปลบ ความร้อนไหลวูบผ่านดวงตาของเธอ เนิ่นนานทีเดียวก่อนจะพยักหน้า
“แม้ว่าการทำแบบนี้จะดูโหดร้ายสำหรับคุณ แต่เขาก็เป็นผู้ชายที่หลงใหลในความรักและทุ่มเทหัวใจของตนเองไปที่คุณ ดังนั้นจงรีบจบเรื่องนี้เถอะ อย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจจะตัดไม่ขาด” ผู้บัญชาการย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกลั้นน้ำตาแล้วยิ้มขึ้น “ถ้าจะโทษก็คงโทษที่ฉันทำเรื่องให้สวี่เจียนต้องปวดใจ ชีวิตนี้ฉันติดหนี้บุญคุณเขาอย่างไม่อาจใช้คืนได้”
“ไม่หรอก......ไม่ใช่ว่าใครติดค้างใคร เพียงเพราะไม่มีโชคชะตาต่อกันก็เท่านั้น” ผู้บัญชาการถอนหายใจออกมา “พวกเธอสองคนทำได้เพียงผ่านเข้ามาในชีวิตของกันและกัน และเดินไปด้วยกันระยะหนึ่ง แต่ไม่ใช่ตลอดไป ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องจากกันอยู่ดี......”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนรู้สึกเศร้าสร้อยเธอทำได้เพียงพยักหน้าไม่พูดอะไร
ผู้บัญชาการเห็นท่าทางของเธอเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ “ผมรู้ว่าคุณยังมีความรู้สึกดีต่อเขา แต่ว่า......เฮ้อ”
หากว่าคนที่เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนแต่งงานด้วยไม่ใช่เซียวเซิ่ง บางทีเขายังจะออกหน้าได้บ้าง หรืออาจจะใช้เงินและอำนาจในการเอาเธอกลับคืนมา แต่ทำไมถึงต้องเป็นเซียวเซิ่งกันล่ะ ซึ่งเขาไม่มีวิธีใดทำอะไรได้เลย......
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นฉันต่างหากที่ทรยศเขา ฉันจะมีสิทธิ์กล่าวถึงเรื่องความรู้สึกแบบนั้นอีกเหรอคะ ถ้าเขาอยู่ดีมีความสุข ไม่ได้ตกต่ำเพราะฉัน แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”
“เขาไม่ตกต่ำหรอก เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย มีความสามารถในการยอมรับความเปลี่ยนแปลงมากกว่า”
ผู้บัญชาการหยิบยารักษาโรคกระเพาะออกมา ยื่นให้เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพูดว่า “เขาไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว คุณช่วยทำให้เขากินข้าวหน่อยได้ไหม เอายานี้ให้เขากินก่อนแล้วค่อยกินข้าว จากนั้นค่อยคุยกัน”
“ไม่ได้กินอะไรมาสามวันเเล้วเหรอคะ?” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนเอ่ยย้ำขึ้น หัวใจของเธอราวกับถูกอะไรบางอย่างทิ่มแทง เธอลุกขึ้นแล้วจากไปทันที
ผู้บัญชาการลุกขึ้นทำท่าทางเชิญ “ห้องกักกันอยู่ทางนี้ เดี๋ยวพอคุณได้พบเขา จะต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาครั้งนี้ไม่เพียงไร้ประโยชน์ แต่ยังเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับไฟทำให้เขาไม่อาจลืมคุณได้”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
อานฉุนซียืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก เมื่อเห็นพวกเขาเดินออกมาจึงได้ดับบุหรี่ลงทันใดแล้วเดินเข้าไป “ผู้บัญชาการไม่ต้องกังวลใจไปครับ ผมจะคอยเตือนถึงอารมณ์ของเธอเอง”
“ครับขอบคุณทั้งสองคนมาก” ผู้บัญชาการเปิดประตูห้องกักกัน “พวกคุณเขาไปเถอะ พอดีผมมีธุระจะต้องรีบไปจัดการ ขอตัวก่อน”
“ครับ เชิญเลย” อานฉุนซีตอบรับ
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนจ้องมองไปที่ประตูด้วยความว่างเปล่า ขาทั้งสองข้างของเธอดูหนักอึ้ง มันก้าวไม่ออกเลยทีเดียว หัวใจดวงนั้นก็เริ่มกระวนกระวาย เธออยากจะวิ่งหนีไปจริง ๆ
“พี่ซี......พี่เข้าไปคุยกับเขาแทนฉันได้ไหม ฉันไปก่อนนะ”
อานฉุนซีโมโหจนแทบหัวเราะออกมา เขาจับไหล่เธอไว้แล้วลากกลับมา “เรื่องแบบนี้จะไปทำแทนกันได้ยังไง ถ้าเขาไม่ได้พบเธอและไม่ได้ยินคำเหล่านั้นจากปากของเธอ ก็คงจะไม่ตัดใจแน่!”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนกระวนกระวายเสียจนน้ำตาแทบไหลออกมา “แต่คนที่อยู่ข้างในอดอาหารเพราะฉันนะคะ ถ้าจะให้ฉันเข้าไปพูดคำที่แทงใจดำเขาแบบนั้นอีก จะไม่เท่ากับเป็นการฆ่าเขาหรือไง?”
“จะให้ทำยังไงได้ล่ะ เธอแต่งงานแล้วและต้องยอมรับกับความจริงนี้” คำพูดนี้ดับความฝันของเธอลงจนสิ้น
“เสี่ยวเนี่ยนมีสติหน่อย อย่าร้องไห้สิ” อานฉุนซี วางยาเคลือบกระเพาะลงบนโต๊ะแล้วหันไปปลอบเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน “เธอทำแบบนี้เอาแต่ร้องไห้ ไม่เพียงแต่ทำให้ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายลดลง แต่จะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น ทำให้เขาเข้าใจผิดคิดไปว่าเธอไม่อาจไปจากเขาได้”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนรู้เหตุผลนี้ดี แต่น้ำตามันคุมไม่อยู่จะให้เธอทำยังไงล่ะ
อานฉุนซีไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงเดินเข้าไปตรงหน้าสวี่เจียนอีกครั้ง ยกมือขึ้นชี้ไปทางเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “รองผู้บัญชาการสวี่ ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้อย่างหนักเพราะคุณ แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าทำให้เธอต้องลำบากไปมากกว่านี้ ช่วยดึงความเป็นลูกผู้ชายออกมาพูดกับเธอหน่อย ว่าคุณรู้สึกดีตลอดสี่ปีที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ต่อจากนี้ไปคุณไม่อาจจะเดินไปเป็นเพื่อนเธอได้แล้ว และขออวยพรให้เธอมีความสุข”
ดูเหมือนสวี่เจียนจะไม่เห็นอานฉุนซีในสายตา เขาจ้องมองไปที่เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนซึ่งกำลังร้องไห้ “เนี่ยนเอ๋อร์ กว่าเราจะได้เจอกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอร้องไห้ทำไม?”
อานฉุนซีส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวที่มาแยกทั้งสองออกจากกัน ตอนนี้เขาพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ ทางที่ดีควรหุบปากไว้รอให้พวกเขาระบายความรู้สึกต่อกันจบแล้วค่อยว่ากันใหม่
สวี่เจียนกลืนน้ำลายลงคอ พยายามกะพริบตาอันขุ่นเคือง “เสี่ยวเนี่ยนมานี่ ให้ผมดูหน่อย”
เสี่ยวเนี่ยนมานี้ ให้ผมดูหน่อย ทุกครั้งที่เธอร้องไห้เขามักจะพูดแบบนี้
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนทนไม่ได้อีกต่อไป เธออยากจะเปิดประตูแล้วออกไปจากที่นี่ทันที
“เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยน” สวี่เจียนรู้สึกรีบร้อนขึ้นมา “ถ้าผมรู้ว่าเธอจะมาผมคงจะจัดแจงสภาพตัวเองให้ดีกว่านี้ คงไม่ทำให้เธอต้องเสียใจหรือรังเกียจผม”
“ฉันไม่ได้เกลียดนาย” น้ำตาของเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไหลออกมา ที่หน้าอกของเธอราวกับมีอะไรมากดทับเอาไว้ “ฉันเพียงแต่......”
“เพียงแค่สงสารผมเหรอ?”
“พี่คะ รักษาสุขภาพตัวเองด้วย เราไม่อาจไปด้วยกันได้อีกแล้ว”
“เธอมาที่นี่เพื่อตัดขาดความสัมพันธ์?” แววตาของสวี่เจียนดูมืดมนลง เสียงหัวเราะอันขมขื่นดังขึ้น เขาถอนหายใจว่า “เสี่ยวเนี่ยน เธอไม่ควรมาที่นี่ การที่เธอเดินทางมาแบบนี้ทำให้ผมตายเร็วขึ้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น