“จะเกิดเรื่องอะไรกับเธอได้ล่ะ?”อูเจินจูขมวดคิ้วสงสัย “เอาโทรศัพท์มานี่ หนูจะโทรกลับไปหาเธอ”
“โทรศัพท์หนูไม่มีแบตแล้ว ปิดเครื่องพอดีเลย เดี๋ยวแม่เอากลับบ้านไปชาร์จให้” อูต้าจื้อเอาโทรศัพท์ใส่เข้าไปในกระเป๋าตัวเอง โบกมือไล่ให้หล่อนไป“บอกให้ไปก็ไปสิ ต้องเกิดเรื่องกับหล่อนแน่เลย เดี๋ยวพ่อแม่เรียกรถกลับบ้านเองก็ได้”
“งั้นก็ได้”อูเจินจูบอกลาพ่อแม่และขับรถมุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลซูจี้ ระหว่างทางก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนคงไม่เกิดอุบัติเหตุหรอกนะ?
แล้วความคิดนี้ก็พุดขึ้นมาในหัว หล่อนรู้สึกหวาดกลัวจนหนาวสั่นไปทั้งตัว หล่อนเหยียบคันเร่งและถึงโรงพยาบาลซูจี้อย่างรวมเร็ว
แต่เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนและสามีของหล่อนไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล สอบถามจากพยาบาลแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ป่วยที่เกิดจากอุบัติเหตุเข้ารับการรักษาเลย
อูเจินจูรู้สึงโล่งใจไปบ้าง และเตรียมจะออกจากโรงพยาบาล เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นก็หยุดนิ่งไปสักพัก ถ้าหากเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนไม่ได้เป็นอะไร หรือว่าจะเป็นเย่เฟิงที่เกิดเรื่อง?
กลับไปแบบนี้ก็ไม่สบายใจ อูเจินจูลังเลใจอยู่สองสามนาที แล้วจึงสแกนคีย์การ์ดเข้าไปในห้องผู้ป่วยเย่เฟิง ทันทีที่หล่อนเดินเข้าไปก็พบกับแววตาสีครามราวกับน้ำทะเล
เย่เฟิงเอนตัวพิงพนักหัวเตียง มือข้างหนึ่งไขว้ไว้หลังศีรษะ ใบหน้าที่ซูบผอมไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขามองตรงไปหาคนที่เข้ามา
อูเจินจูหันไปมองทางอื่นด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของเธอค่อยๆเต้นเร็วขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพียงได้เจอเขาในใจเธอก็เต็มไปด้วยความสุขล้นอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนรักอิสระ แต่ก็ยังปฏิเสธเขาไม่ได้
น่าแปลก ทำไมตัวเองถึงรู้สึกแบบนี้?
ทั้งสองคนนิ่งอยู่พักหนึ่ง จู่ๆเธอก็ยิ้มเย้ยหยันแล้วพูดว่า “ขอโทษนะ ราตรีสวัสดิ์”
“อย่าไป”
เสียงทุ้มนุ่มดังเข้ามาในหัวใจเธอ อูเจินจูหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง และค่อยๆเงยหน้ามองเย่เฟิง เธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องอยู่ต่อ?
เย่เฟิงยกตัวขึ้นนั่งตัวตรงและจ้องมองไปที่เธอ“ไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อแล้ว ก่อนกลับช่วยต้มมาม่าให้หน่อยได้ไหม?”
คำขอร้องนี้ไม่ได้หนักหนาเกินไป
อูเจินจูเบ้ปากเดินไปต้มมาม่าด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งให้เขา เย่เฟิงพยายามหาเรื่องคุยกับเธอหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็เห็นสีหน้าไม่ดีของเธอตลอดเขาจึงกลืนคำที่พูดเข้าไป
“ต้มเสร็จแล้ว นายกินเลยนะ ฉันไปละ”อูเจินจูยัดถ้วยมาม่าใส่มือของเขาและจากไป
“ผมยังไม่ได้กินยาเลย และต้องรอประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะกินยาได้ ยาขมมากเลย ผม...” เขาพูดติดๆขัดๆ จนทนไม่ไหว
ในใจอูเจินจูเหมือนมีอะไรรั้งเอาไว้ แต่ใบหน้าเธอยังคงเย็นชา“นายมีน้องสาวตั้งเยอะแยะ คงมีสักคนที่สามารถดูแลนายได้ ติดต่อพวกหล่อนสิ ฉันไปละ”
"ผมไม่ต้องการพวกเธอ ผมแค่ต้องการคุณ ผมพอแล้วเมื่อได้รับรู้จิตใจอันบริสุทธิ์และสวยงามของคุณแล้ว ผมก็ไม่อยากกลับไปโลกที่สกปรกนั้นอีกเลย มาอยู่ข้างกายผม...”
“ประทับใจจริงๆ ผียังไม่อยากอยู่เลย ลาก่อน”
“อ๊าก!”ชายคนนั้นร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช และกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็อบอวลไปทั่วห้อง
อูเจินจูตกตะลึงและหันไปเห็นว่าชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคว่ำลงพื้น น้ำซุปกระเด็นใส่ตัวและขาของเย่เฟิง น้ำร้อน90องศานั้นร้อนมากๆ
“นาย...”เขาโง่มากที่ทำร้ายตัวเอง เพื่อที่จะรั้งเธอไว้
เซียวเซิ่งและภรรยาขับรถกลับมายด์ฮาร์ทวิลล่าแล้ว
ขณะที่รถยังจอดไม่สนิท พ่อบ้านเซี่ยก็เข้ามาต้อนรับและทักทายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ยินดีต้องรับคุณนายน้อกลับบ้านครับ ห้องนอนจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะลุงเซี่ย เรียกหนูเสี่ยวเนี่ยนก็ได้” เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนลงจากรถโดยไม่ได้วางมาดใหญ่โตเลยแม้แต่น้อย
หล่อนปล่อยเซียวเซิ่งไปก็ได้ แต่เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนก็ต้องไม่ได้เขาเช่นกัน หล่อนยอมให้ผู้หญิงคนอื่น!
เซียวเซิ่งพยุงเอวเอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนขึ้นบันไดไป และรอยยิ้มก็กว้างขึ้น “ไม่เลวเลยนิ พูดจีนโบราณได้ด้วย รู้สึกเหมือนได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี”
เอี๋ยนเสี่ยวเนี่ยนรู้สึกอายเล็กน้อย “ฉันก็รู้แค่ประโยคนี้แหละ”
“ไหนลองแปลแบบง่ายให้ฟังหน่อยสิ”
“แมวจรจัดสีเหลืองแมวจรจัดสีดำ ตัวที่จับหนูได้คือผู้ยิ่งใหญ่”
ว้าว!
ภรรยา สนุกจังเลย ตอนเด็กต้องน่ารักยิ่งกว่านี้แน่เลย? เซียวเซิ่งก้มศีรษะลงและจูบหน้าผากเธออย่างเอ็นดู “หมายถึงแบบนี้ใช่มั้ย? เดี๋ยวแปลใหม่อีกครั้ง”
“แมวจรจัดสีเหลืองแมวจรจัดสีดำ ตัวที่จับหนูได้คือผู้ยิ่งใหญ่”
“เซียวเซิ่ง!”เอียนหยู่โรววิ่งตามเขาไปอย่างไม่สนใจ น้ำตาหล่อนไหลอาบไปทั่วใบหน้า “คุณจะเอายังไงกับฉัน ฉันรู้สึกอึดอัดมากที่คุณไม่สนใจฉันแบบนี้”
“คุณเจรจากับแม่ผมแล้วไม่ใช่เหรอ?” เซียวเซิ่งมองเอียนหยู่โรวอย่างเย็นชา ในแววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
คนส่วนใหญ่จะทนไม่ได้กับแววตาคู่นั้น แต่สำหรับเอียนหยู่โรวแล้วไม่เป็นอะไรเลย “ฉันคิดว่าในเมื่อมันเป็นความแค้นใจระหว่างเราสองคน ไม่เกี่ยวกับคุณนายเซียวเพราะฉะนั้นฉันจึงอยากเจรจากับคุณ”
เอียนหยู่โรวกลัวว่าเขาจะไม่ตอบตกลง จึงพูดเสริมด้วยสีหน้าน้อยใจว่า “คำขอร้องนี้คงไม่มากเกินไปใช่มั้ย?”
“ไม่มากเกินไป” เซียวเซิ่งพยักหน้าและพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “แต่ผมจะไม่ตกลง ถ้าคุณอยากเจรจาจริงๆ คุณสามารถคุยกับคุณโอเล่ย์ผู้ช่วยส่วนตัวของผมได้เลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เรื่องวิวาห์ของเจ้าสาวจำเป็น