วันวิวาห์ขมวดคิ้วอย่างสับสน
เธอไม่ได้บอกเพื่อนสนิท เรื่องที่จอมพลเคยใช้ความรุนแรงกับเธอ
สองวันนี้ทั้งสองต่อสู้กับสงครามเย็นที่น่าอึดอัดใจ
แต่เมื่อคิดดูแล้ว ตัวเองก็เสียเปรียบ แต่ตอนนั้นก็สู้กลับแล้วนี่ แล้วความโกรธในใจก็สงบลงเล็กน้อยทันที
ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เขาช่วยเธอตั้งมากมาย ถือว่าเสมอกัน
……
การกัดกร่อนที่แผ่นหลังของเยลลี่รุนแรงมาก ต้องพักที่โรงพยาบาล
ออกมาจากห้องฉุกเฉิน วันวิวาห์จึงไปที่ห้องคนไข้ของเธอ:“เยลลี่ ขอบใจนะ……ค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเธอไม่ต้องห่วง ฉันจัดการเอง เธออยู่รักษาตัวอย่างสบายใจเถอะ”
เยลลี่นอนหงายไม่ได้ ได้แต่คว่ำลง
เธอหันไปทางวันวิวาห์ ไม่รู้ว่าเจ็บหรือเสียใจ น้ำตาไหลเต็มหน้า:“รุ่นพี่วิวาห์ พี่เห็นแก่ที่ฉันช่วยพี่ ขอร้องกับทางโรงเรียนให้ฉันได้ไหมคะ?ฉันถูกไล่ออกไม่ได้จริงๆ ที่บ้านฉันตั้งทำงานหนักกันทั้งบ้าน เพื่อส่งฉันมาเรียน ……บรรดาพี่น้องต่างเปิดทางเพื่อให้ฉันเรียน ฉันยังต้องทดแทนบุญคุณพวกเขาอีก ถูกทำลายไปแบบนี้ไม่ได้……”
ดวงตาของวันวิวาห์มีความอิจฉาเล็กน้อย อิจฉาที่เธอมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนั้น และเพราะว่าความหนักแน่นของครอบครัวเยลลี่จึงทำให้เกิดพันธนาการที่แสนเศร้า
เธอพยักหน้า:“ฉันจะลองดู แต่ทางโรงเรียนถึงฉันไปขอร้องก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะได้ผลไหม เธอให้ฉันคิดก่อนนะ ว่าฉันจะจัดการอย่างไร”
เยลลี่ทั้งร้องไห้ทั้งยิ้ม:“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่ พระคุณของพี่ ฉันจะจำไว้ตลอดชีวิต”
วันวิวาห์มองเธอ เรียบเรียงคำพูดไป:“เยลลี่ ฉันไม่ได้มีพระคุณกับเธอหรอก กลับกัน ทุกอย่างที่เธอได้รับตอนนี้ต่างหาก เป็นเพราะว่าฉัน ไม่ใช่ฉัน เธอคงไม่เดินผิดทาง ที่จริงเธอไม่ต้องดูถูกตัวเองขนาดนั้น ถึงจะไม่มีปริญญา แต่ความรู้ที่มีอยู่ในหัวเธอและความสามารถของเธอก็สามารถตัดสินได้ว่าอนาคตเธอจะไปได้สูงแค่ไหน”
นี่คือความใจกว้างที่สุดที่เธอสามารถมอบให้แก่รุ่นน้องที่ทำผิดไป
หวังว่าต่อไปเธอ จะไม่ทำผิดโง่ๆอีก
……
อีกด้าน
จอมพลเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด กวินทร์ก็เข้ามา
เห็นเขาเหมือนจะพูดอะไรก็ไม่พูด จอมพลจึงขมวดคิ้ว:“มีอะไรก็พูดมา ไม่มีก็ไสหัวไป ฉันไม่อยากฟังทางที่ดีตอนนี้นายควรหุบปาก”
เขาผ่าตัดไปทั้งวัน ร่างกายและจิตวิญญาณเหนื่อยล้าสุดๆ
กวินทร์ดูเขาอารมณ์ไม่ดี เลยไม่กล้าไปกระตุกหนวดเสือ ได้แต่กลืนคำพูดที่อยู่ในปากลงไป
“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากฟัง”
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากพูดนะ ก็พี่ไม่อยากฟังเอง แล้วเดี๋ยวอย่ามาว่าผมก็พอ
ผู้อำนวยการกวินทร์กลอกตาอย่างเย่อหยิ่ง หันกลับออกไป
……
คฤหาสน์โอรส
จอมพลเข้าไป ก็เห็นร่างผอมบางข้างในครัวแบบเปิด
เธอยืนอยู่กับป้าสม กำลังมองอาหารในกระทะพูดอะไรเสียงเบาอยู่
จอมพลเดินเข้าไปในครัวโดยไม่ตั้งใจ
บนโต๊ะอาหาร อาหารที่ดูรสอ่อนเต็มโต๊ะ ทั้งหมดเป็นแต่ของที่เขาชอบทาน
อารมณ์ที่ไม่ดีในสองสามวันก็ดีขึ้นทันที ใบหน้าที่เย็นชาก็เหมือนน้ำแข็งอันเย็นเฉียบได้เจอสายลมในฤดูใบไม้ผลิ และเริ่มละลายโดยไม่รู้ตัว
มุมปากชายหนุ่มยกขึ้นมาเล็กน้อย เสียงกลับเย็นชาเหมือนเคย พร้อมกับเสียดสี:“คุณยังรู้จักกลับ……”
“พล”
เธอเงยคางขึ้น ดูเย่อหยิ่งและมั่นใจ พูดสาบานไปว่า:“ผู้ชายของฉันม่านฟ้า ในสายตาในหัวใจ มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น!”
คิ้วจอมพลที่ขมวดแน่นก็คลายลง
ม่านฟ้าเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตามีความเย็นเยือกเย็น รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ลดลงไปเลย พูดต่อไปว่า:“มาเร็ว ฉันทำอาหารที่นายชอบเต็มโต๊ะ วางใจได้ กินเสร็จฉันจะไป ฉันจองห้องไว้ที่โรงแรมแล้ว ไม่รบกวนโลกของพวกนายสองคนหรอก วันนี้ที่มา ก็เพื่ออยากเซอร์ไพรส์นาย และก็แวะมาดูพี่สะใภ้ด้วยว่าเป็นคนอย่างไรกันแน่ ถึงได้ใจพ่อหนุ่มเย็นชาอย่างนายไป”
เธอพูดไป สองมือก็กุมแขนของจอมพลพาเขาไปหน้าโต๊ะทานข้าว
จอมพลขมวดคิ้วอีกครั้ง ดึงแขนออกอย่างเงียบๆ:“เธองานยุ่ง วันนี้ไม่กลับบ้าน”
“แบบนี้นี่เอง”ม่านฟ้าเหมือนจะผิดหวัง แต่แววตากลับมีรอยยิ้ม:“งั้นมีแค่เราสองคนที่กินสิ”
ทั้งสองเกิดในตระกูลใหญ่ ถึงแม้ไม่มีกฎที่ว่านข้าวห้ามพูด แต่ตอนทานข้าวก็ไม่พูดมากอยู่แล้ว
ม่านฟ้าคีบอาหารให้จอมพลเงียบๆ:“ชิมนี่ ฉันเรียนอยู่นานเลย……เอ๋ หน้าผากนายทำไมมีเลือดไหลอีกแล้วล่ะ?”
เมื่อกี๊อารมณ์ของจอมพลมากไปหน่อย ไปดึงโดนแผล
ผ้าก๊อซที่ขาวเมื่อกี๊ตอนนี้แดงเป็นวงใหญ่
ม่านฟ้ารีบวางตะเกียบ วิ่งไปดูข้างๆจอมพล
จอมพลถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว:“ไม่ต้อง……”
ยังพูดไม่จบ จู่ๆหน้าประตูก็มีเสียงดังขึ้นมา
ทั้งสองในห้องทานข้าวหันมองไปที่หน้าประตูพร้อมกัน
แววตาของม่านฟ้าเป็นประกาย แต่จู่ๆเท้าก็สะดุด ล้มลงไปที่อ้อมแขนของจอมพล
จอมพลยื่นมือไปรับอย่างไม่รู้ตัว
วันวิวาห์เข้ามา ก็เห็นเป็นฉากแบบนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสพรักร้อน กลางใจตัวพ่อ