ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ นิยาย บท 76

หยุนจิ่งมองไปทางหลิวลี่ซงที่อยู่บนพื้น จากนั้นดึงซูหนานอีไปซ่อนไว้ข้างหลัง ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า "เหนียงจื่อ เขากำลังจะฟื้นแล้ว"

ซูหนานอียิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน สัมผัสไปที่เขาเบาๆกล่าวว่า "จิ่งเอ้อร์อย่าได้กังวลใจไป เขาถูกมัดเอาไว้ มิเป็นไรหรอก"

หยุนจิ่งจึงได้ปล่อยมือออก แต่สายตานั้นยังคงจับจ้องไปที่หลิวลี่ซงอย่างระมัดระวัง

หลิวลี่ซงหนังตากระตุก เขาส่งเสียงออกมาจากปากดังซี้ด รู้สึกว่าศีรษะและท้ายทอยของตนเจ็บปวดอย่างแรงจึงตั้งใจจะยกมือขึ้นไปสัมผัส กลับพบว่าขยับมิได้ จึงได้ตกอกตกใจเบิกตากว้างมองดูตนเอง ก่อนจะรู้ตัวว่าตนถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา เขาเป็นเพียงนักปราชญ์ทั่วไป หาได้เคยพบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนจึงรู้สึกงุนงงยิ่งนัก เมื่อมองออกไปพบหวังซิงฮั่นผู้มีหนวดเครายาวรุงรัง ดวงตาทั้งกลมโตเบิกกว้าง ประกอบกับใบหน้าอันดุร้ายทำให้เขาแทบจะร้องไห้ออกมา

"ท่านชาย ท่านผู้เมตตา! มิทราบว่าเหตุใดท่านจึงได้มัดข้าเอาไว้เช่นนี้? ข้าน้อยหาได้มีทรัพย์สินเงินทองแต่อย่างใด อีกทั้ง มิมีหญิงงาม ข้าน้อยมิมีสิ่งใดจะนำมามอบให้ท่านเลย ขอร้องท่านปล่อยข้าน้อยไปเถอะ……"

"……" หวังซิงฮั่น

ดวงตาของหยุนจิ่งกะพริบขึ้น เหตุใด……เขาจึงรู้สึกแปลกๆ?

ซูหนานอีกระแอมออกมา จากนั้นเดินเข้าไปหาหลิวลี่ซงช้าๆ

หลิวลี่ซงที่นอนตะแคงอยู่บนพื้น เขาเห็นเพียงชายกระโปรงงดงามดุจดอกบัว จากนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมอง พบกับใบหน้าอันเย็นชาแต่สวยงาม

ก่อนหน้านี้ซูหนานอีสวมหมวกปิดบังเอาไว้จึงทำให้เขาไม่อาจเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่าบัดนี้จึงจำไม่ได้ว่านางเป็นใคร

"จะปล่อยเจ้าไปก็ได้มิใช่เรื่องยาก แต่จงกล่าวกับข้ามาว่าเหตุใดจึงได้สะกดรอยตามข้า หากเจ้าสามารถบอกออกมาถึงเหตุผลได้ก็ว่าง่าย แต่หากไม่......"

ดวงตาของหลิวลี่ซงหรี่ลงทันใด เขาเพิ่งได้เข้าใจว่าผู้ใดที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้? สมองของเขาพลิกผันอย่างรวดเร็วแล้วรีบยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า "คุณหนูเข้าใจผิดไปแล้วขอรับ ข้าน้อยหาได้สะกดรอยตามคุณหนูแต่อย่างใด……"

ซูหนานอีหันไปขยิบตาให้หวังซิงฮั่น จากนั้นหวังซิงฮั่นก็ก้าวขึ้นไปได้หน้า ดึงหลิวลี่ซงขึ้นมาใช้มืออันใหญ่และหนาของเขาตบลงบนหน้าดัง "เพลียะ!"

มือของหวังซิงฮั่นดุจดั่งพัดใบใหญ่ เมื่อฟาดลงไปจึงทำให้หูของหลิวลี่ซงส่งเสียงดังอื้ออึง มุมปากของเขามีเลือดสดๆไหลออกมา ผิวหนังบนใบหน้าร้อนระอุดั่งกับจะแตกสลาย

"อ๊าก!"

เขาร้องออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็ถูกสายตาอันน่ากลัวของหวังซิงฮั่นมองย้อนกลับไปเสียจนต้องเก็บเสียงเอาไว้

ซูหนานอีก้มตัวลงมามองดูเขา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส เบาบางดุจเมฆที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า "เจ้าลองคิดดูดีๆ หากกล่าววาจาไร้สาระอีกล่ะก็คงจะต้องโดนตบอีกสักที เมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่ตัวอย่าง"

ตัวอย่างหรือ? สิ่งนี้ต้องทำเป็นตัวอย่างก่อนด้วยหรือ?

หลิวลี่ซงแอบสบถอยู่ในใจ แต่เขากลับมิกล้ากล่าวอะไรออกมา ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างซื่อๆ

"จงว่ามา"

หลิวลี่ซงจึงได้เอ่ยปากขึ้นอย่างระมัดระวังยิ่งว่า "ข้าน้อยเพียงแค่ต้องการตามหานาง ได้ยินคุณหนูกล่าวว่ารู้จักกับนาง จึงต้องการจะรู้ว่านางอยู่ที่ใด ด้วยเหตุนี้จึงรีบร้อนในการติดตามหานางเท่านั้น หาได้มีแผนการชั่วร้ายใด"

ประโยคนี้นับว่าเป็นความจริงอยู่กว่าครึ่ง เมื่อซูหนานอีคำนวณดูเวลาแล้วคาดว่าบัดนี้เสี่ยวชีคงจะนำตัวหลี่จิ้งหว่านมาพอดี

นางชะงักลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย หวังซิงฮั่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะหลิวลี่ซงกล่าวความเท็จ จึงได้ตบเขาเข้าให้ด้วยหลังมืออีกครั้ง

"……" ซูหนานอี

ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น

น้ำตาของหลิวลี่ซงไหลรินออกมาอาบสองแก้ม หน้าที่บวมเป่งเท่ากันทั้งสองข้าง

หยุนจิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวออกมาอย่างโกรธเคืองว่า "ใครใช้ให้เจ้าโกหก!"

หลิวลี่ซงสูดจมูกแล้วนึกในใจว่าข้ามิได้โกหกจริงๆ……

"คุณหนูขอรับ" หลิวลี่ซงพยายามดิ้นรนและคุกเข่าลง "ข้าน้อยและนางนั้นรักกันอย่างจริงใจ จู่ๆนางก็หายตัวไปทำให้ข้าน้อยรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก ครอบครัวของข้าเป็นเพียงครอบครัวยากจน มีเพียงเศษเงินที่พอจะนำมาซื้ออาหารเล็กๆน้อยๆในแต่ละวันเท่านั้น ตอนกลางคืนข้ามิกล้าพักในโรงเตี๊ยม หากมิใช่เพราะข้าน้อยต้องการจะตามตัวนางพบในเร็ววัน ข้าเป็นเพียงแค่นักปราชญ์ธรรมดา ก็คงมิต้องการจะรบกวนผู้ใด อีกทั้งเที่ยวแจกจ่ายใบปลิวเหล่านั้นที่ถนนเหรอขอรับ……"

ขณะที่เขากล่าวพลางก็น้ำตาไหลริน "ข้าเพียงต้องการตามหานางเท่านั้นจริงๆ ส่วนเรื่องศักดิ์ศรีใดๆเหล่านั้นข้าน้อยมิ สนใจอีกต่อไป ขอโปรดคุณหนูปล่อยข้าน้อยและบอกทีเถิดว่านางอยู่ที่ใด……"

คำพูดของเขานั้นดูออกมาจากใจจริง ในแต่ละคำที่กล่าวออกมาทำให้คนฟังรู้สึกหัวใจสั่นไหว หากมิใช่ในค่ำคืนนั้นนางพบว่าเขาเกลือกกลิ้งไปบนเตียงกับชุ่ยจือ ซูหนานอีคงจะเชื่อเรื่องไร้สาระที่เขากล่าวมาแล้วจริงๆ

หยุนจิ่งดูเหมือนจะอดไม่ไหวอีกต่อไป เขารู้สึกสงสารและดึงแขนเสื้อของซูหนานอี กล่าวอย่างเงียบๆว่า "เหนียงจื่อ เขากำลังตามหาใคร ตามหาเหนียงจื่อของเขาหรือ?"

ซูหนานอียังมิทันได้ตอบออกมา น้ำเสียงอันสั่นคลอนของหลิวลี่ซงก็ได้กล่าวขึ้นว่า "คุณชายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว รอเมื่อใดที่ข้าน้อยหาตัวนางพบ ก็จะแต่งงานกับนางทันที!"

"หลิวลี่ซง เจ้ากล่าวว่าเจ้าละทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อมาตามหาข้า ข้อยากจะถามเจ้าเหลือเกินว่าในบ้านที่แสนยากจนของเจ้านั้น เจ้ามีอะไรให้ต้องละทิ้งกันบ้าง? หากมิใช่ว่าในแต่ละเดือนข้าพยายามเก็บออมเงินและส่งไปให้เจ้า เจ้าจะมีชีวิตอยู่มาได้ถึงวันนี้หรือ?"

"เจ้ากล่าวว่ากินมิได้นอนมิหลับ ด้วยเหตุใดกันเล่า? เป็นเพราะข้าวปลาและสุราของจวนหลี่มิเลิศรส? หรือเป็นเพราะชุ่ยจือปรนนิบัติเจ้าไม่ดี หลิวลี่ซง ผู้หญิงคนนั้นนางจะมอบชื่อเสียงและเงินทองให้แก่เจ้า เจ้าจึงได้ร่วมมือกับนางมาหลอกข้า? หัวใจของเจ้าแท้จริงแล้วเป็นสีแดงหรือสีดำกัน?"

น้ำเสียงของหลี่จิ้งหว่านอ่อนนุ่ม ดูเหมือนจะร้องไห้แต่ก็คล้ายกับกำลังตำหนิ มันแผ่ซ่านไปตามสายลมฤดูร้อนนี้ ทำให้คนฟังรู้สึกอึดอัดใจ

ดวงตาของหยุนจิ่งค่อยๆเบิกกว้างขึ้น แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจถึงคำพูดที่ซับซ้อนมากมาย แต่เขาก็พอจะฟังออกว่าชายหนุ่มผู้นี้ทำเรื่องเลวร้าย อีกทั้งมิได้รักใคร่เหนียงจื่อของเขาจริงๆ

เขามองไปทางซูหนานอีด้วยสีหน้าละอายใจเล็กน้อย

ซูหนานอียิ้มออกมา หยุนจิ่งจึงดึงชายเสื้อของนางเบาๆ มิกล้าที่จะคลายมือออก ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงอันเบาข้างหูของนางว่า "เหนียงจื่อ ข้าขอโทษ"

ซูหนานอีเอียงศีรษะมองดูเขา "มิเป็นไร"

หลิวลี่ซงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าอันตื่นเต้นของเขาเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันใด ความปลื้มปีติในดวงตาหดหายไปเหลือเพียงความหวาดกลัว

"อาหว่าน ข้า……"

"เจ้าอะไร? เจ้าถูกบังคับอย่างงั้นหรือ? แท้จริงแล้วในใจเจ้ามีข้าอยู่หรือไม่? คิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเจ้าเช่นนี้หรือ?" หลี่จิ้งหว่านหัวเราะออกมาเบาๆ "หลิวลี่ซง ข้าอาจจะตาบอดไป แต่ข้าคงมีตาบอดตลอดกาล!"

นางเอื้อมมือออกไปดึงบางอย่างที่อยู่บริเวณเข็มขัดตรงเอวของเขาออกมา มันเป็นผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนๆ ปักลายใบไผ่สีเขียว

"ฝีมือของชุ่ยจือ" นางกล่าวพลางดึงกระเป๋าคาดเอวของเขาออกมา จากนั้นหยิบตั๋วแลกเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงออกมาด้านบนมีตราประทับของตระกูลหลี่อยู่ ซึ่งสามารถนำไปแลกเป็นเงินสดได้ที่ธนาคารทุกแห่งในเมือง

หลิวลี่ซงปิดปากของเขาแน่นและมิรู้ว่าจะอธิบายโต้เถียงอย่างไร เขาหลับตาก้มหน้าลง มองไปยังปลายกริชที่แหลมคม เม็ดเหงื่อเท่าเม็ดถั่วค่อยๆไหลลงจากหน้าผากของเขา

"อาหว่าน……"

หลี่จิ้งหว่านกล่าวขึ้นขัดจังหวะเขา "เจ้าอย่าได้เรียกข้าว่าอาหว่านอีก! ข้าได้ยินแล้วสะอิดสะเอียน!"

หลิวลี่ซงจึงทำได้เพียงหุบปากลงอีกครั้ง

ซูหนานอีเดินก้าวเข้ามาด้านหน้าจากนั้นหยิบกริชออกไปจากมือของนาง "มันไม่คุ้มค่าเลยที่จะนำชีวิตของคนเช่นนี้มาแปดเปื้อน คุณหนูหลี่จงเชื่อใจข้าเถิดแล้วปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการ"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ