พ่อบ้านรับคำแล้วถอยออกไป หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย "นี่เป็นเพียงวันที่สามที่นางกลับมาที่เมืองจิ่นและยังเป็นในเวลาเช่นนี้แล้ว นางมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?" นางพูดพลางหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้ลั่วชิงเหยียน
ลั่วชิงเหยียนยิ้มและก้มศีรษะลงมองหยุนชาง "สำหรับพวกเราแล้ว นางมาอย่างรีบร้อนไปสักหน่อย แต่สำหรับนางแล้ว นางอาจจะรอมาเป็นเวลานานแล้ว หากเป็นดังที่หวังจิ้นฮวนพูดจริงๆ ว่านางต้องการบัลลังก์ เช่นนั้นข้าก็เป็นดังหนามยอกอก เกรงว่าตั้งแต่ที่ข้ากลับมาที่แคว้นเซี่ยก็คงถูกนางจับตามองไว้อยู่แล้ว นางรอจนถึงตอนนี้จึงจะกลับมาที่เมืองจิ่นแล้วจึงมาหาพวกเรา นับว่าช่างนานพอสมควรจริงๆ"
หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นด้วย นางจึงยิ้มและกล่าวว่า "เช่นนี้แล้วนางก็มีความอดทนมากนัก"
เมื่อสวมเสื้อผ้าให้ลั่วชิงเหยียนเรียบร้อยแล้ว หยุนชางก็ให้เฉี่ยนหลิ่วเข้าห้องไปช่วยนางเปลี่ยนชุด นางเลือกชุดสีเขียวต้นหลิ่ว คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีนวลและเดินไปที่ศาลากับลั่วชิงเหยียน
ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีไม้จันทน์แดงนั่งอยู่ในศาลา นางคือองค์หญิงใหญ่และดูไม่เหมือนองค์หญิงพระองค์อื่นที่หยุนชางเคยพบนัก เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของนางเรียบง่ายอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจบดบังความสูงศักดิ์ในตัวนางได้ แม้ว่านางจะอายุเลยห้าสิบปีมาแล้ว แต่นางกลับดูเหมือนผู้หญิงที่ยังอายุไม่ถึงสี่สิบปีเสียมากกว่า หากนางไม่ได้นั่งอยู่ในศาลาเพียงคนเดียว เกรงว่าหยุนชางเองก็คงไม่กล้าทักเป็นแน่
ลั่วชิงเหยียนและหยุนชางเข้าไปในศาลา สตรีผู้นั้นก็วางถ้วยชาในมือลงและมองดูทั้งสองด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่ก้าวเข้าไปทำความเคารพ "ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ"
เมื่อองค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นนางก็รีบลุกขึ้นมาพยุงทั้งสองคนขึ้น "เหตุใดจึงต้องเกรงใจเช่นนี้ เรียกข้าว่าท่านอาก็พอแล้ว" นางพูดพลางยืนมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า "ก่อนหน้านี้ที่ข้าอยู่ที่สำนักเชียนโฝก็ได้ยินมาว่าฝ่าบาทหาองค์ชายใหญ่พบแล้ว ทั้งยังเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ หน้าตาหล่อเหลา เชี่ยวชาญทั้งทางบุ๋นและบู๊ ตอนนี้เมื่อได้พบก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเจ้าและพระชายาของเจ้ายืนคู่กันแล้ว ช่างดูคล้ายเป็นคู่เซียนก็ไม่ปาน เหมาะสมกันยิ่งนัก" เสียงนั้นอ่อนโยนและสรรพนามที่แทนตนว่า "ข้า" ก็ดูสนิทสนมอย่างยิ่ง
"ขอบพระคุณสำหรับคำชมขององค์หญิงเพคะ" หยุนชางรีบฉีกยิ้มอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงใหญ่ยิ้มและพูดขึ้นอีกว่า "ต่อหน้าข้าพวกเจ้าไม่ต้องรักษากิริยาเช่นนี้หรอก ข้าต่างหากที่เป็นแขก มานั่งคุยกันเถอะ"
ลั่วชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็รับคำแล้วจึงยื่นมือไปจูงหยุนชางมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างกายอย่างเป็นธรรมชาติ หยุนชางจึงหันไปยิ้มน้อยๆ ให้เขา
การกระทำทั้งหมดนี้ตกอยู่ในสายตาขององค์หญิงใหญ่ นางถอนหายใจเบาๆ "เมื่อมองดูท่าทางรักใคร่กลมเกลียวของเจ้ากับพระชายาแล้วก็ทำให้ข้านึกถึงยามที่ฮวาฮองเฮายังอยู่ ข้าและนางเป็นเพื่อนสนิทที่เล่นด้วยกันมาแต่เล็กจนโต เมื่อตอนนี้เห็นว่าชิงเหยียนยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หลิงเอ๋อร์ก็สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบแล้ว รออีกร้อยปีให้หลังตอนที่ข้าได้พบนางอีกก็สามารถบอกนางเรื่องเจ้าได้"
หยุนชางเห็นดวงตาของลั่วชิงเหยียนเปล่งประกายเกลียดชังวูบหนึ่งจึงเอื้อมมือออกไปจับมือของเขาอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงเหยียนยิ้มให้นางเล็กน้อยและหันไปมององค์หญิงใหญ่ "โอ้? ท่านรู้จักเสด็จแม่หรือ?"
องค์หญิงใหญ่คิดว่าลั่วชิงเหยียนติดกับแล้ว รอยยิ้มของนางก็เจิดจ้าขึ้น "ใช่แล้ว ตอนนั้นข้ากับหลิงเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ไม่เลวเลย ตอนแรกเราสัญญากันว่าต่อไปจะให้ลูกๆ ของเราแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ข้าไม่มีวาสนานี้ สามีของข้าด่วนจากไป ข้าเองก็เบื่อเรื่องทางโลกและหนีเข้าสู่พระธรรมคำสอน ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทหาเจ้าพบแล้ว ไม่รู้ว่าข้ายินดีมากแค่ไหน เพียงแต่ในขณะนั้นข้ากำลังสวดภาวนาจึงไม่สะดวกที่จะมาพบเจ้า ทันทีที่กลับมาที่เมืองจิ่น ข้าพักผ่อนเล็กน้อยและก็รีบมาหาเจ้าทันที"
ลั่วชิงเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่จะไปเยี่ยมท่านอา แต่เพราะข้าทำผิดจึงได้ถูกเสด็จพ่อสั่งกักบริเวณและไม่อาจไปไหนได้"
หยุนชางเลิกคิ้ว ลั่วชิงเหยียนไม่เลวเลย แม้คำเรียกท่านอาก็เรียกได้อย่างสนิทปาก
เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นดังนั้น รอยยิ้มของนางก็ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก นางยิ้มและพูดว่า "ข้าได้ยินเรื่องนั้นมาแล้ว เสด็จพ่อของเจ้าเข้มงวดนัก แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน เมื่อใดที่ข้าเข้าวังไปจะช่วยขอร้องแทนเจ้าให้ ช่วงนี้อากาศดีนัก ข้าจะเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทั้งวันได้อย่างไร"
เมื่อลั่วชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็มองหยุนชางอย่างจนปัญญาแล้วจึงจิ้มปลายจมูกนาง "เจ้าตอนนี้เอาแต่ล้อข้าเล่น แสดงละครไปแล้วแต่ไม่แน่ว่านางจะเชื่อหรือไม่ ที่นางมาในวันนี้ก็เพียงเพื่อสำรวจดูว่าข้าเป็นคนอย่างไร ผู้ที่เติบโตมาในวังล้วนเป็นยอดมนุษย์ คนที่จิตใจลึกล้ำเช่นนางย่อมต้องยิ่งสุดยอดกว่านั้น นางจะเชื่อข้าง่ายๆ ได้อย่างไร"
"ไม่รู้ว่านางเล่าเรื่องมากมายเช่นนั้นจะจริงหรือเท็จแค่ไหน" หยุนชางหรี่ตาลง
ลั่วชิงเหยียนแค่นเสียงเย็น "จริงเท็จเพียงใดหรือ คงจะมีครึ่งหนึ่งได้กระมัง นอกจากเรื่องที่นางได้พบกับฮวาฮองเฮาตั้งแต่เล็ก เรื่องที่ฮวาฮองเฮาชอบเรื่องรบราฆ่าฟันและเรื่องคนที่สำนักศึกษากล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนป่าเถื่อนแล้ว นอกนั้นล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น"
หยุนชางชะงักฝีเท้าลงชั่วคราว "ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไรหรือ?"
ลั่วชิงเหยียนยิ้มน้อยๆ "ข้าย่อมต้องรู้ ในสำนักศึกษาหลวงนั้น ผู้ที่ไม่ชอบฮวาฮองเฮาที่สุดก็คือองค์หญิงใหญ่นั่นเอง เพราะนางคิดว่าฮวาฮองเฮาหยาบคายเกินไปและไม่คู่ควรกับสถานะอันทรงเกียรติในราชวงศ์ ทั้งยังรวมกันกับเพื่อนของนางลอบกัดฮวาฮองเฮา ตอนที่ฮวาฮองเฮาเข้าสำนักศึกษาหลวงใหม่ๆ นางได้รับความลำบากไม่น้อย ต่อมาฝ่าบาททนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจึงได้ช่วยนางไว้หลายครั้ง ไปๆ มาๆ ทั้งสองจึงได้สนิทกัน ในสำนักศึกษาหลวงนั้นฮวาฮองเฮาติดตามฝ่าบาทอยู่ตลอดจึงค่อยๆ เกิดเป็นความรักขึ้น"
หยุนชางฟังลั่วชิงเหยียนเล่าเรื่องในอดีตของเซี่ยหวนอวี่และฮวาฮองเฮาด้วยน้ำเสียงสงบ ทว่าดวงตาของของเขากลับฉายแววสับสนเล็กน้อย ร่างกายของหยุนชางชะงักไป ในใจลอบถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าลั่วชิงเหยียนจะให้ความสำคัญกับเซี่ยหวนอวี่และฮวาฮองเฮามากกว่าที่เขาคิด ด้วยนิสัยของเขาแล้ว หากไม่สนใจจริงๆ ก็สามารถเมินเฉยต่อทั้งหมด ย่อมไม่ไปทำความเข้าใจรายละเอียดในเรื่องของพวกเขาเช่นนั้น แม้แต่เรื่องของคนที่ไม่เกี่ยวข้องหลายคน เขาก็รู้อย่างละเอียด
ลั่วชิงเหยียนเห็นว่าหยุนชางชะงักไปเล็กน้อยจึงไม่พูดอะไรอีก เขาดึงหยุนชางเข้าห้องไป ปากก็บ่นพึมพำ "เพิ่งทานอาหารเย็นนางก็มา เจ้าคงหิวแล้ว พวกเรากลับไปทานอาหารกันเถอะ ไม่รู้ว่าวันนี้ในครัวเตรียมอะไรไว้ให้"
หยุนชางยกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ ลั่วชิงเหยียนยังคงเคอะเขิน ไม่ยอมให้คนอื่นล่วงรู้ความในใจอยู่เช่นนั้นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...