หยุนกุ้ยเฟยชะงักไปเล็กน้อยแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน "กราบทูลฮองเฮา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดเพคะ องค์หญิงเชียนหลิงเพียงแต่ซนไปหน่อยเท่านั้น นางเข้ามาเล่นคนเดียวในอุทยานหลวงและรั้นจะเด็ดเบญจมาศดำให้ได้ เบญจมาศดำนี้บิดาของแม่นางผู้นี้เป็นผู้ส่งเข้ามาในวัง เกรงว่านางคงจะคิดถึงบ้านจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นเบญจมาศดำถูกเด็ดจึงทำให้เชียนหลิงหกล้มโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องนี้เป็นความผิดของเชียนหลิง หม่อมฉันจะนำตัวนางกลับไปสั่งสอนที่ตำหนักเดี๋ยวนี้เพคะ"
"หือ?" ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มองไปที่เชียนหลิงที่ยังคงขยี้ตาด้วยใบหน้าน้อยใจแล้วจึงหัวเราะออกมา "ก็แค่ดอกไม้เท่านั้น ในเมื่อถูกส่งมาที่วังก็ย่อมเป็นของฝ่าบาท เชียนหลิงเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์และเป็นพระธิดาของฝ่าบาท นางอยากจะเด็ดดอกไม้ผิดตรงไหนกัน? ทหาร ตัดดอกเบญจมาศดำให้หมดแล้วนำไปมอบให้องค์หญิงเชียนหลิง"
หยุนกุ้ยเฟยรีบกล่าวว่า "ฮองเฮาอย่าได้ตามใจนางนักเลยเพคะ เบญจมาศดำนี้งดงามนัก หากตัดออกมาเพียงสองสามวันก็โรยราแล้ว หากยังอยู่บนต้นให้ทุกคนเชยชมจะไม่ดีกว่าหรือ"
เพียงแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหยุนกุ้ยเฟย นางกำนัลก็ตัดดอกเบญจมาศนำมายื่นให้องค์หญิงเชียนหลิงแล้ว
เชียนหลิงตกตะลึง นางซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหยุนกุ้ยเฟยและไม่ได้เอื้อมมือไปรับมันมา
"เมื่อเทียบกับรอยยิ้มขององค์หญิงแห่งแคว้นเซี่ยแล้ว เบญจมาศดำเพียงดอกเดียวนั้นไม่มีความสำคัญอันใดเลย เชียนหลิง เจ้าเห็นว่าดอกไม้นี้สวยไหม หากเจ้าชอบก็นำไปเล่นเถอะ" ฮองเฮายิ้มอย่างอบอุ่น "หากต่อไปเชียนหลิงชอบอะไรก็มาบอกข้าเสีย"
หยุนชางเห็นว่าสีหน้าของหยุนกุ้ยเฟยซีดลงเล็กน้อย ครู่หนึ่งนางจึงพยายามยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน แล้วก้มหน้าพูดกับเชียนหลิง "ในเมื่อฮองเฮาประทานดอกไม้ให้ เชียนหลิง เจ้าไม่ไปขอบคุณท่านหรือ?"
เชียนหลิงเอื้อมมือออกไปรับดอกเบญจมาศดำมาอย่างสั่นเทา ถอยออกมาจากอ้อมแขนของหยุนกุ้ยเฟยอย่างช้าๆ นางเดินไปหาฮองเฮาและคุกเข่าลง พร้อมเอยเสียงเบา "เชียนหลิงขอบพระทัยที่เสด็จแม่ประทานดอกไม้ให้เชียนหลิงเพคะ"
ฮองเฮายิ้มบางๆ และลูบหัวเชียนหลิงเบาๆ "เชียนหลิงเด็กดี..." ดวงตาของนางชะงักไปเล็กน้อยและทอดลงบนมือและศอกของเชียนหลิง ที่นั่นมีรอยเปื้อนดินอยู่
ฮองเฮาย่อตัวลงและยกแขนเสื้อของเชียนหลิงขึ้น "เมื่อครู่เชียนหลิงเพิ่งหกล้มหรือ? ข้าเห็นว่าเสื้อผ้าของเชียนหลิงสกปรกไปหมดแล้ว"
เมื่อแขนเสื้อถูกเลิกขึ้น ทุกคนจึงเห็นว่าที่แขนของเชียนหลิงมีรอยแผลอยู่ ผิวหนังฉีกขาดและมีเลือดซึมออกมา สีหน้าฮองเฮาเปลี่ยนไปทันที นางยืนขึ้นและพูดกับหยุนกุ้ยเฟยว่า "แขนของเชียนหลิงได้รับบาดเจ็บ หยุนกุ้ยเฟยพาเชียนหลิงกลับไปแล้วเรียกหมอหลวงมาดูเถอะ" หลังจากพูดจบนางก็หันไปหาแม่นางที่กำลังคุกเข่าด้วยแววตาเย็นชา "เจ้าชื่ออะไร?"
หญิงสาวผู้นั้นตัวสั่นระริกและรีบตอบว่า "หม่อมฉันชื่อจ้าวเซียนอู่เพคะ"
"จ้าวเซียนอู่? เจ้าเป็นบุตรีของผู้ตรวจการเมืองจิงโจวหรือ?" ฮองเฮาเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย รอยยิ้มมุมปากแฝงแววประชดประชัน
ขณะที่ในใจหยุนชางแอบตะโกนกู่ก้องว่าแย่แล้ว ฮองเฮาก็เอ่ยว่า "สามารถเข้าวังมาได้นับเป็นวาสนาของเจ้า แต่ผู้ตรวจการจิงโจวผู้นี้เป็นขุนนางฝ่ายบู๊จริงๆ ลูกสาวที่เขาสั่งสอนเลี้ยงดูมากลับไม่เข้าใจมารยาทเลยสักนิด แม้แต่องค์หญิงก็ยังกล้าไปดึงตัวไว้ หากมีคนเช่นเจ้าอยู่ในวัง ไม่แน่ว่าจะก่อเรื่องขึ้นมาวันใด เรื่องวันนี้เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่?"
เกรงว่าจ้าวเซียนอู่จะไม่เคยเห็นขบวนการเช่นนี้ เมื่อถูกฮองเฮาถามเช่นนี้แล้ว ร่างกายของนางจึงไร้เรี่ยวแรง แม้จะคุกเข่าก็ยังลำบาก เสียงของนางสั่นอย่างชัดเจน "หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันผิดไปแล้ว"
ฮองเฮายิ้มเย็น "เจ้ารู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว ทหาร นำนางไปโบยสามสิบทีที่หน้าตำหนักอวี้ซิ่วเพื่อลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น"
หยุนกุ้ยเฟยเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงและรีบกล่าวว่า "ฮองเฮาเพคะ เชียนหลิงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ในเมื่อนางสำนึกผิดแล้วก็อย่าได้ลงโทษรุนแรงเช่นนั้นเลยเพคะ"
ฮองเฮาหันไปมองหยุนกุ้ยเฟยแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อนโยน "ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องเชียนหลิงเพียงเหตุผลเดียว แม้นางจะผิดที่ลงมือกับเชียนหลิง แต่ในเมื่อน้องกุ้ยเฟยให้อภัยแล้วข้าไม่ลงโทษก็ได้ เพียงแต่นางได้ศึกษามารยาทในวังมานานขนาดนั้น แต่กลับยังก่อเรื่องเช่นนี้ก็ถือเป็นการขัดต่อกฎในวังเช่นกัน ปีนี้มีสาวงามผ่านการคัดเลือกเข้ามาทั้งหมดสิบหกคน หากทุกคนทำเช่นนี้แล้ววัหลังจะไม่วุ่นวายแย่หรือ คราวนี้ลงโทษจ้าวเซียนอู่อย่างรุนแรงก็เพื่อเป็นการตักเตือนหญิงสาวคนอื่นๆ ที่เพิ่งเข้ามาในวังด้วย"
หลังสิ้นเสียงของฮองเฮา นางก็บอกมือให้สัญญาณแก่นางกำนัล เหล่านางกำนัลจึงรีบเข้ามาข้างหน้าเพื่อลากตัวของจ้าวเซียนอู่ออกไป ร่างกายของจ้าวเซียนอู่ไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง นางอ้าปากแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
"น้องกุ้ยเฟยควรรีบกลับตำหนักและเรียกหมอหลวงมาดูอาการของเชียนหลิง" ฮองเฮายิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
หยุนกุ้ยเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงย่อกายคำนับฮองเฮาแล้วจูงมือเชียนหลิงและออกจากอุทยานหลวงไป
ดวงตาของหยุนชางเป็นประกายเล็กน้อย นางเห็นชุดสีเหลืองสดใสในศาลาบนภูเขาหินจำลองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หยุนชางเพ่งมองแต่ก็เห็นเพียงเงาร่างของลั่วชิงเหยียนที่หายลับไปจากศาลา
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง หยุนชางก็ก้าวอย่างรวดเร็วเพื่อตามหยุนกุ้ยเฟยไปที่วังหยุนซี
"หือ?" หยุนกุ้ยเฟยตกตะลึงแล้วจึงรีบเอ่ยว่า "ยังไม่รีบเชิญท่านอ๋องเข้ามาอีกหรือ?"
นางกำนัลรีบกล่าวว่า "ท่านอ๋องบอกว่าจะไม่เข้ามาเพคะ เขาให้มาบอกพระชายาว่าเขาจะรอพระชายาอยู่ที่ประตูตำหนักเพคะ"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คราวที่แล้วนางบอกว่าเขาไม่ควรเข้าออกตำหนักในตามใจชอบ เขาจึงรออยู่ที่ประตู
"ชางเอ๋อร์ช่างโชคดีนัก รุ่ยอ๋องรักเจ้าลึกซึ้งเช่นนี้ ในครอบครัวของชาวบ้านธรรมดาก็นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีสถานะสูงส่งเช่นนี้ เพียงแต่ในตระกูลราชนิกุลย่อมมีคนที่ทนเห็นผู้อื่นได้ดีไม่ได้ ชางเอ๋อร์ต้องระมัดระวังให้มาก ข้าจะไม่รั้งตัวเจ้าไว้แล้ว เจ้ากลับไปกับเขาเถอะ" หยุนกุ้ยเฟยมองหยุนชางพร้อมรอยยิ้มบางๆ
หยุนชางก็พยักหน้ายิ้มตอบ นางยืนขึ้นและพูดว่า "เช่นนั้นทูลลาเพคะ เรื่ององค์หญิงเชียนหลิงนั้น ท่านอย่าได้เข้มงวดกับนางนักเลย ดังที่ฮองเฮาตรัสไว้ อย่างไรองค์หญิงเชียนหลิงก็เป็นองค์หญิง แม้คนอื่นจะกล่าวว่านางเผด็จการเอาแต่ใจก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่นางเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท อยากแต่งงานกับใครก็ย่อมสามารถทำได้เพคะ"
หยุนกุ้ยเฟยดวงตาเป็นประกาย นัยน์ตาของนางทอดมองหยุนชางและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ "ชางเอ๋อร์ฉลาดนัก ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเป็นที่โปรดปรานของรุ่ยอ๋อง ข้าเข้าใจแล้ว"
หยุนยิ้มเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกจากตำหนักไป เมื่อเดินออกจากตำหนักหยุนซี นางก็เห็นลั่วชิงเหยียนยืนอยู่ที่ประตู นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างต่างก็มองเขาอย่างประเมิน แต่ลั่วชิงเหยียนราวกับไม่รู้ตัว เขาหลุบตาลงมองพื้น ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอันใด
"ท่านอ๋อง" หยุนชางเรียกเขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม ลั่วชิงเหยียนจึงรีบเงยหน้าขึ้น มุมปากของเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางเดินเข้ามาหาหยุนชาง "ไม่ได้ไปที่ตำหนักเซียงจู๋หรือ?"
หยุนชางยิ้มพลางส่ายหัว "วันนี้ไม่ไปตำหนักเซียงจู๋เพคะ ท่านอ๋องทำธุระเสร็จแล้วหรือ? หากเรียบร้อยแล้วก็กลับจวนกันเถอะเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ แล้วโอบไหล่ของหยุนชางเดินไปข้างหน้า เขาก้มศีรษะลงกระซิบกับนางว่า "ฝ่าบาทตรัสว่า นอกจากดอกเบญจมาศแล้วยังมีการผู้ส่งดอกบ๊วยมาเป็นเครื่องบรรณาการด้วย ข้าเห็นว่าในจวนเต็มไปด้วยดอกท้อจึงได้ขอพระราชทานมาบ้าง คิดจะนำมาปลูกในลานของเรือนที่เราอยู่ เจ้าอย่างอย่างไร?"
หยุนชางแย้มยิ้ม "ดีเพคะ เพียงแต่ฤดูหนาวที่เมืองจิ่นนั้นน่าจะอบอุ่นกว่าแคว้นหนิงนัก ไม่รู้ว่าจะปลูกดอกบ๊วยรอดหรือไม่"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...