"ฉินยี!" หยุนชางเมื่อได้ยินคำพูดของฉินยี จึงมีโอกาสได้ตะโกนเรียกชื่อออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ จึงเดินก้าวไปหาฉินยีเพียงสองสามก้าว พร้อมยิ้มตาหยีออกมา แล้วจึงดึงมือของฉินยีขึ้นมาว่า "ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ได้กัน ข้ารอเจ้านานมาก ทำไมมาถึงแล้วไม่ส่งคนมาบอกข้าสักหน่อย ? ข้าจักได้ให้คนไปรับเจ้า" เมื่อพูดจบ ฉินยียังมิทันตอบคำถาม นางจึงถามต่อแล้วว่า "ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นที่บอกให้เจ้ามา เจ้ากลับบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างต้องทำเสียก่อน หลังจากเวลาที่ผ่านไป ตอนนี้มันผ่านไปสามเดือนแล้ว. เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?"
หยุนชางถามคำถามเสียมากมาย ฉินยีทำได้เพียงยิ้มแล้วฟังไปด้วยเท่านั้น หากแต่เป็นเฉี่ยนจั๋วที่อดไม่ได้. จึงหัวเราะออกมา "หวางเฟย ท่านถามคำถามเสียมากมาย ฉินยีกูกูจะตอบท่านได้อย่างไรกัน "
หยุนชางพลันชะงักไปชั่วครู่ เมื่อนึกถึงเมื่อครู่ที่ตนเองถามคำถามออกไปนั้น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม
ใบหน้าฉินยีเต็มไปด้วยความอ่อนโยน พลางตอบคำถามกลับไปว่า "ระหว่างทางเมื่อได้ยินว่าหวางเฟยตั้งครรภ์แล้วนั้น. นู๋ปี๋ในใจรู้สึกรีบร้อนเป็นอย่างมากเพื่อให้มาถึงที่นี่ จึงได้ลืมส่งข่าวมาบอกหวางเฟย ก่อนหน้านั้นที่ไม่ได้มา เป็นเพราะว่านู๋ปี๋ต้องการกลับไปแคว้นหนิงเพื่อไปดูแลนายท่านเสียก่อน"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้น พลันรีบร้อนถามกลับว่า "ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้าง ? เฉินซีโตขึ้นเท่าใดแล้ว ? คำนวณอายุดูแล้ว ตอนนี้เฉินซีคงจะได้ขวบกว่ากระมัง ยามนี้คงเรียกหาผู้คนได้แล้ว เกรงว่าตอนนี้คงลืมพี่สาวคนนี้ไปแล้วมัง เสด็จพ่อดูแลเสด็จแม่และเฉินซีดีหรือไม่ ?"
ฉินยีจึงยิ้มตาหยีตอบกลับไปว่า "นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพคะ ร่างกายแข็งแรงอารมณ์ดี หากแต่ เมื่อตอนนู๋ปี๋อยู่แคว้นหนิงมิได้ข่าวคราวเรื่องหวางเฟยตั้งครรภ์เลย มิเช่นนั้น. หากนายท่านได้ยิน จักต้องดีใจเป็นอย่างมาก "
"ข้าก็ลืมเขียนจดหมายไปบอกท่านแม่เสียสนิทเลย อีกครู่หนึ่ง ข้าค่อยเขียนจดหมายส่งไปบอกท่านแม่ในภายหลัง"
ฉินยีได้ยอนเช่นนั้น พลางพยักหน้าลงเล็กน้อย "หากท่านเขียนจดหมายแล้ว นู๋ปี๋คิดว่า หากหวางเฟยเล่าเรื่องนี้ให้นายท่านฟัง. นายท่านจักต้องดีใจมากแน่ ๆ คุณชายน้อยก็เติบโตขึ้นมาก ผิวขาวราวกับหยกสีทองตัวน้อย ทำให้ผู้คนหลงรักเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังฉลาดเฉลียว ตอนนี้ก็สามารถพูดได้ครบประโยคแล้ว ปากหวานยิ่งนัก สามารถทำให้นายท่านและฝ่าบาทอารมณ์ดีได้ทั้งวัน"
หยุนชางพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมยิ้มตอบว่า "น้องชายจักต้องฉลาดเฉลียวมากแน่"
"หวางเฟยมิต้องกังวลว่าท่านชายน้อยจะลืมเลือนหวางเฟยเลยเพคะ. นายท่านสั่งให้คนวาดภาพเหมือนของหวางเฟยขึ้นมา พร้อมแขวนไว้ในวังจิ่นซิ่ว นายท่านบอกกับท่านชายน้อยบ่อยครั้งว่าคนผู้นี้คือพี่สาวของเขา. วันนั้นนู๋ปี๋ยังเห็นท่านชายน้อยถือขนมกุ้ยฮวา เดินไปยังรูปเหมือนของหวางเฟย พร้อมถามว่าเสด็จพี่กินหรือไม่ ? หากครั้งหน้าได้เห็น ท่านชายน้อยจักต้องจำท่านได้อย่างแน่นอนเลยเพคะ ฝ่าบาทยังไปวังจิ่นซิ่วเพื่อรับสำรับกับนายท่านและเฉินซีทุกวันอีกด้วย นายท่านสบายดีเป็นอย่างมาก หวางเฟยมิต้องกังวล"
หยุนชางได้ยินฉินยีพูดดังนั้น สมองพลันมีภาพของพวกเขาโผล่ขึ้นมา ขอบตาร้อนชื้นเล็กน้อย พลางขบริมฝีปากของตนเอง มิให้น้ำตาไหลออกมา เพียงครู่หนึ่ง. น้ำเสียงในลำคอที่แหบแห้งพลันพูดขึ้นมาว่า "ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี. หากพวกเขาสบายดีแล้ว นั้นถือเป็นเรื่องดีแล้ว"
ฉินยีพลันกุมมือของหยุนชาง. พร้อมบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "นายท่านยังฝากนู๋ปี๋มาบอกกลับหวางเฟยอีกว่า ถึงแม้แคว้นเซี่ยจะไม่ใจกว้างเท่าแคว้นหนิง. เรื่องภายในราชสำนักของแคว้นเซี่ยลึกลับซับซ้อนกว่านแคว้นหนิงเป็นอย่างมาก หวังว่าหวางเฟยจะทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน"
หยุนชางพลันรีบร้อนพยักหน้าลงมา. พร้อมลอบแอบจับมือของตนเองว่า "ได้ ข้าทำได้อย่างแน่นอน"
เฉี่ยนจั๋วพลันนำเก้าอี้มาให้ พร้อมกระซิบเตือนหยุนชางว่า "หวางเฟย ให้ฉินยีกูกูนั่งลงก่อนเถอะ"
หยุนชางพลันรับคำ. พร้อมทั้งจับฉินยีนั่งบนเก้าอี้ พลางให้นางเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ฟังอย่างละเอียด เฉกเช่นเรื่องในแคว้นหนิงที่ได้เห็นได้รับรู้ นางอยากรู้ว่าบุคคลที่นางรักทุกคน ล้วนแต่มีความสุขปลอดภัยหายห่วงจริง ๆ
ลั่วชิงเหยียนกลับมาถึงจวนนั้น. ก็เห็นหยุนชางกำลังนั่งพูดคุยกับฉินยีอยู่แล้ว ฉินยีเมื่อเห็นลั่วชิงเหยียนเดินเข้ามานั้น พลันรีบร้อนขึ้นโค้งกายทำความเคารพ "นู๋ปี๋เข้าเฝ้าท่านอ๋อง"
ลั่วชิงเหยียนพลัยรีบร้อนพยุงฉินยีให้ลุกขึ้นมา "ไม่ต้องมากพิธี. ก่อนหน้านั้นชางเอ๋อร์พูดถึงเจ้าต่อหน้าข้าเสียมากมาย รอเสียจนเจ้ามาถึงแล้ว" เมื่อพูดจบพลางหันไปยิ้มให้หยุนชาง "ไม่กี่วันมานี้ ข้าไม่ให้นางออกไปข้างนอก นางจึงรู้สึกเบื่อเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องดีที่เจ้ามาถึงแล้ว จึงทำให้นางมีเพื่อนคุยมากยิ่งขึ้น"
ฉินยีพลันลอบสำรวจลั่วชิงเหยียนอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นสายตาที่เขามองไปที่หยุนชางด้วยความอ่อนโยนนั้น ภายในใจรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก จึงยิ้มขึ้นมาว่า "หวางเฟยตั้งแต่เด็กจนโตเป็นคนที่สามารถอ่านตำราได้ทั้งวันเลยเพคะ. จะรู้สึกเบื่อได้อย่างไร ? หากนางรู้สึกเบื่อ คงเป็นเพราะท่านอ๋องเอาอกเอาใจนางมากไปต่างหาก จึงทำให้นางนิสัยเสียแล้ว "
ลั่วชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะเสียงดังออกมา. จึงเดินไปยังข้างกายหยุนชาง "เป็นฉินยีที่รู้ใจเจ้าเสียจริง คงเป็นเพราะข้าทำให้เจ้านิสัยเสียเป็นแน่"
หยุนชางพลันเหลือบมองลั่วชองเหยียนแค่หางตา พร้อมถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "วันนี้ ท่านอ๋องไม่ต้องจัดการงานเอกสารงั้นหรือ ?"
"ดูดู. วันนี้มีคนอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเจ้าแล้ว รีบผลักข้าออกไปไวเสียจริง " เมื่อพูดจบพลางถอดเสื้อคลุมออก พร้อมยืนยิ้มอยู่ข้างเฉี่ยนจั๋วว่า "แม้ว่าข้าจะต้องจัดการเอกสารข้าก็ต้องกินข้าวเสียก่อนสิ"
เฉี่ยนจั๋วรับคำ "นู๋ปี๋จะรีบไปจัดเตรียมเจ้าค่ะ"
เมื่อลั่วชิงเหยียนกลับห้องไปแล้ว. หากแต่ฉินยีที่พูดคุยกับหยุนชางไม่หยุด จึงรู้สึกผิดเล็กน้อย ฉินยีพลันหยิบเสื้อคลุมที่วางอยู่ด้านข้างเตียงมาดมเบา ๆ แล้วจึงให้หยุนชางคลุมไว้ พร้อมยิ้มตอบว่า "นู๋ปี๋จำได้ว่า ก่อนหน้านั้นหวางเฟยชอบพรมกลิ่นดอกเหมยไว้บนเสื้อผ้าอาภรณ์"
หยุนชางเงยหน้า พลันถลึงตาใส่ลั่วชิงเหยียน "เมื่อวานท่านยังบอกกับหม่อมฉันว่า ทุกวันนี้นอกจากเวลากินหม่อมฉันก็นอน. หม่อมฉันเพียงแค่นอนดึกไปเสียหน่อย ท่านก็เริ่มบ่นหม่อมฉันแล้วหรือ"
เมื่อพูดจบ พลันยิ้มตาหยีพูดกับลั่วชิงเหยียนว่า "ฉินยีมาแล้ว หม่อมฉันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก"
ลั่วชิงเหยียนพลันพยักหน้าไปเล็กน้อย "อื้ม. ดีจริงที่นางมาแล้ว. เจ้าจักได้มีผู้ช่วยเพิ่มมากขึ้นจะไม่ได้ต้องลำบากมากนัก"
หยุนชางพยักหน้าเล็กน้ออย เมื่อคิดถึงเรื่องราวไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น จึงถามคำถามขึ้นมาว่า "เรื่องพระชายารองหลิ่วยังไม่มีข่าวคราวคืบหน้างั้นหรือ? "
"อื้ม. ไม่มีความคืบหน้าอันใดเลย วันนี้ข้าไปสอบปากคำพ่อแม่ของหลิ่วฉูฉู่มา พ่อของหลิ่วฉูฉู่เป็นน้องชายของหลิ่วจิ้น เมื่อเทียบกับหลิ้วจิ้นดูแล้ว เป็นบุคคลที่ดูอ่อนโยนและยังใสซื่อเป็นอย่างมาก พวกเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่งเท่านั้น บุตรสาวอันเป็นที่รักของตนเอง เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าต้องโศกเศร้าเสียใจไม่น้อย หากแต่ ไม่รู้ว่าทำไม ข้ามองสีหน้าพวกเขากลับรู้สึกว่า ความโศกเศร้านั้นไม่ได้แสดงออกมาทางแววตาเลยแม้แต่น้อย"ลั่วชิงเหยียนพลันขมวดคิ้วลง สีหน้าแสดงออกถึงความสับสนงุงง "มิรู้ว่าเจ้าเจ็ดได้ไปพูดอันใดกับพวกเขาก่อนหน้านั้นหรือไม่ "
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วลง พร้อมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง"หลิ่วฉูฉู่อยู่ในจวนเป็นที่รักของผู้คนหรือไม่ ?"
"เรื่องนี้ข้ามิได้ถามมากนัก หากแต่ได้ยินมาว่าหลิ่วฉูฉูเป็นสตรีมากความสามารถ เป็นความภาคภูมิใจของท่านพ่อของนาง เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ที่ดีกระมัง"ลั่วชิงเหยียนพลันตอบกลับมาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
เมื่อพูดจบ พลันเปลี่ยนประเด็นไปว่า "จดหมายของเจ้า ข้าส่งเข้าวังไปแล้ว. วันนี้ที่วังไท่จี๋ เมื่อฝ่าบาทประชุมเสร็จนั้น เมื่อออกจากวังไท่จี๋ได้ไม่นานกลับพบหนิงเฉี่ยน ข้าจึงบอกกล่าวนางไปแล้ว"
หยุนชางพลันพยักหน้าเล็กน้อย ภายในใจกำลังนึกถึงเรื่องของหลิ่วฉูฉู่. นางกลับรู้สึกว่า เรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว หากแต่หยุนชางก็นึกไม่ออกว่า แปลกที่ใดกัน
ลั่วชิงเหยียนไม่อยากให้หยุนชางกังวลถึงเรื่องนี้ จึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า "ดึกปานนี้แล้ว เราพักผ่อนกันเถอะ"
หยุนชางพลันรับคำ จึงสั่งให้เฉี่ยนจั๋วเข้ามาในห้อง เพื่อสางผมให้นาง ล้างหน้าล้างตา แล้วจึงขึ้นเตียงนอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...