ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง นิยาย บท 595

หลังจากที่ฉินยีมาแล้ว หยุนชางรู้สึกสบายขึ้นเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าฉินยีจะมาถึงแคว้นเซี่ยได้ไม่นาน หากแต่นางเรียนรู้ทุอย่างมาหมดแล้ว เมื่อมาถึงก็เริ่มทำงานได้ทันที รวมถึงวัฒนธรรมของแคว้นเซี่ยต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นที่รักของเหล่าฮูหยินทั้งหลายในจวนอีกด้วย แม้แต่ลักษณะนิสัยของเหล่านายท่านในวัง นางล้วนแต่เข้าใจทั้งหมด

หยุนชางมองดูภายในห้องที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่นั้น รวมถึงผู้ที่กำลังจัดเตรียมของตกแต่งในวันขึ้นปีใหม่อย่างฉินยี นางพลันยิ้มขึ้นมา "ฉินยีมาแล้ว ช่างดียิ่ง เช่นนี้ข้าก็วางใจได้แล้ว"

เฉี่ยนจั๋วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้น พลันพยักหน้าเล็กน้อย ราวกลับคิดเห็นเช่นกัน "หากแต่หวางเฟย แม้แต่นู๋ปี๋ยังรู้สึกว่าได้พักผ่อนบ้างเล็กน้อย"

ฉินยีมองทั้งสองคนนั้น น้ำเสียงราวกลับนี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ " หวางเฟยเหมือนมิได้เป็นนายหญิงของจวนนี้เลย. เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่. มีจวนไหนบ้างที่มีนายหญิงขี้เกียจเช่นหวางเฟย. แม้ว่าจะต้องคอยดูแลเพียงแค่จวนของตนเอง ราวกับว่าด้านนอกมิใช่จวนของรุ่ยอ๋อง. ดูเสียนี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว นอกจากพ่อบ้านที่ไปซื้อวัตถุดิบเตรียมสำรับประจำวัน อย่างอื่นก็ยังมิได้ตระเตรียมเลยเช่นกัน"

หยุนชางพลันสำลักน้ำลายทันที นางในชาติที่แล้วนั้น เมื่อแต่งเข้าไป ภายในจวนก็มีท่านยายคอยเตรียมการไว้แล้ว. ของพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ของนางที่จักต้องมากังวลเสียด้วย ในชาตินี้ เมื่อนางแต่งเข้าไปแล้วนั้นผ่านเพียงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิเพียงแค่ครั้งเดียว. อีกทั้งยังเป็นการฉลองในสนามรบด้วยซ้ำ เนื่องจากนางมิคุ้ยเคยกับการจัดการภายในจวนมากนัก อีกทั้งลั่วชิงเหยียนก็มิค่อยอยู่ที่จวนอีก พ่อบ้านเกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ค่อยได้รับการจัดการ นางจำได้ว่า งานเลี้ยงวันเกิดของลั่วชิงเหยียน พ่อบ้านก็ได้เข้ามาช่วยเหลือนาง งานบ้านงานเรือนเช่นนี้ นางไม่เชี่ยวชาญเสียจริง ผู้คนข้างกายก็ยังไม่มีผู้ใดที่มีประสบการร์มากพอ จึงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำแนะนำนางได้

"เฉี่ยนจั๋ว เจ้าไปเรียกคนที่คอยปักเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ท่านอ๋องและหวางเฟย มาวัดตัวทั้งท่านอ๋องและหวางเฟยเสีย ตัดชุดใหม่เพิ่มสักสองสามชุดต้อนรับปีใหม่ เอาสีที่ดูมีความสดใสเป็นมงคลเสียหน่อย "ฉินยีพลันเงยหน้าขึ้นไปสั่งเฉี่ยนจั๋ว

เฉี่ยนจั๋วรีบร้อนรับคำ พลางรีบออกไปสั่งงานอย่างมีความสุข

ฉินยีกล่าวขึ้นมาว่า "เมื่อเช้า ตอนที่หวางเฟยยังไม่ตื่นนอนนั้น. นู๋ปี๋ได้สั่งให้พ่อบ้านไปนำโคมไฟผ้าม่านในคราก่อนนำมาติดให้เรียบร้อยแล้ว ครั้งเมื่อท่านอ๋องเจ็ดแต่งงานนั้น นั่นนับว่าเป็นปีใหม่เล็กไปแล้ว. เมื่อปีใหม่เล็กผ่านไปก็ต้องเตรียมตัวสำหรับปีใหม่ที่จะมาถึง แคว้นเซี่ยให้ความสำคัญในวันปีใหม่เป็นอย่างมาก วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบแปดแล้ว นั่นเป็นเวลาที่ต้องติดคำขวัญเทศกาลฤดูใบไม้ผลิแล้ว รวมไปถึงผ้าม่านหน้าต่างโคมไฟปีใหม่ ใช่แล้ว. อีกครู่หนึ่ง นู๋ปี๋จะไปบอกพ่อบ้านว่า. พรุ่งนี้วันที่ยี่สิบเก้า แคว้นเซี่ยเรียกมันว่าวันก่อนวันสิ้นปี จะต้องมีการจัดงานเลี้ยงกันภายในบ้าน หลังจากนี้ก็ให้คนที่คุ้นเคยคอยจัดเตรียมงาน นั่นเรียกว่าปีใหม่ ยังมีการให้ผู้คนข้างนอกเผาเครื่องหอมสามวันเรียกว่า เทียนเซียง หากลืมแล้ว เกรงว่าพรุ่งนี้ หากมีแขกมาที่จวนเมื่อใด เกรงว่าจะไม่เป็นเรื่องดีนัก"

หยุนชางไม่คาดคิดเลยว่า เพียงแค่ปีใหม่ปีหนึ่งจักต้องเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ แต่ก่อนนางมิได้เอาใจใส่ประเพณีวัฒนธรรมวันขึ้นปีใหม่เสียด้วยซ้ำ นางจำได้เพียงแค่. ภายในพระราชวังนั้น ในตอนกลางคืนจักมีงานเลี้ยงวันส่งท้ายปีเก่า เท่านั้น. จึงมิได้คิดว่าแคว้นเซี่ยกับแคว้นหนิงจะแตกต่างกันมากนัก เกรงว่าปีนี้งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในยามค่ำคืนคงจะรื่นเริงกว่าปีไหน ๆ กระมัง หลังจากที่แต่งเข้าตระกูลโม่นั้น เคยเห็นมาก่อนว่าจักต้องเตรียมติดคำขวัญเทศกาลฤดูใบไม้ผลิแล้ว รวมไปถึงผ้าม่านหน้าต่างโคมไฟปีใหม่ ทว่า ปีใหม่นั้น นางมิเคยพบเห็นมาก่อน

"โชคดีจริง ๆที่ฉินยีมา. มิเช่นนั้นต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านแน่ " หยุนชางพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมน้ำเสียงที่กังวลเล็กน้อย "ก่อนหน้านั้นฮูหยินกั๋วกงคอยเตือนถึงความสัมพันธ์ของคนรัก หากแต่ไม่เคยมีใครบอกข้าว่าต้องทำเช่นไร ดีจริงที่เจ้ามา"

ฉินยีเดินไปยังเบื้องหน้าของหยุนชางนั้น พร้อมส่งยิ้มบอกว่า "ตอนนี้หวางเฟยมีอีกคนในท้องแล้ว ไม่ควรต้องกังวลเรื่องใดให้มากนัก หากแต่ตอนนี้หวางเฟยก็ถือว่าเป็นนายหญิงของจวนนี้แล้ว บางสิ่งบางอย่างจักไม่ทำก็ไม่ได้ หวางเฟยเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียว สามารถคอช่วยเหลือท่านอ๋องได้ นู๋ปี๋รู้. หากแต่การเป็นภรรยาคนหนึ่ง. มิจำเป็นต้องใช้สติปัญญามากนัก ทว่าต้องจัดระเบียบหรือจัดการปัญหาภายในจวนได้เป็นอย่างดี รวมถึงความสัมพันธ์ของฮูหยินภายในจวนด้วย"

หยุนชางพลันกุมมือฉินยีไว้พร้อมพยักหน้าเบา ๆ พลางถอนหายใจออกมาว่า "ได้ ข้าเข้าใจแล้ว"

ฉินยีเห็นสีหน้าที่หดหู่ของหยุนชางแล้วนั้น จึงรีบร้อนปลอบใจว่า "ทว่า หวางเฟยเพิ่งตบแต่งได้ไม่นานนัก อีกทั้งผู้คนข้างกาย ล้วนแต่เป็นสาวใช้อายุน้อย จึงมิใช่ความผิดของหวางเฟยนะเจ้าคะ. อีกสักครู่ นู๋ปี๋จะไปบอกพ่อบ้านให้เรียกมามาทั้งสองคนมาพบ มามาสองคนนั้น นับได้ว่าเป็นผู้ดี จักต้องคอยช่วยเหลือหวางเฟยได้แน่ ๆ"

หยุนชางพลันพยักหน้ารับคำ

เมื่อถึง ตอนเที่ยงสิบนาทีได้ ฉินยีจึงพามามาทั้งสองเข้ามาในห้อง. พร้อมเรียกให้ทั้งสองมาทำความเคารพหยุนชาง

"ผู้นี้คือฉีมามา. ผู้นี้คือชิวมามา " ฉินยีพลางกระซิบพร้อมกับชี้ไปที่มามาทั้งสอง

มามาทั้งสองรีบร้อนก้มลงคำนับหยุนชาง "นู๋ปี๋ขอเข้าเฝ้าหวางเฟยเหนียงเหนียงเพคะ"

"ลุกขึ้นเถอะ " หยุนชางพลันยิ้มรับสายตาพลันกวาดตามองไปทั่วร่างของมามาทั้งสอง

หยุนชางเมื่อเห็นลักษณะท่าทางของมามาทั้งสองนั้น ทั้งสองสวมใส่ชุดสีม่วงเข้ม หากแต่เสื้อผ้าอาภรณ์บนตัวไม่มีรอยยับเลยแม้แต่น้อย รูปผมพลันถูกหวีเก็บมิดชิด ไม่ว่าจะท่าทางการเดินหรือการพูดคุยล้วนแต่เป็นคนชั้นสูง นั่นเป็นตัวเลือกที่ดีจากผู้คนทั้งหมด

เมื่อรับสำรับมื้อเที่ยงเสร็จ หยุนชางเพียงพักผ่อนชั่วครู่ จึงลุกขึ้น พลันเห็นเฉี่ยนจั๋วนำองครักษ์เงาทั้งสองมายืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นหยุนชาง จึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า "หวางเฟย. ก่อนหน้าวันที่เกิดเรื่องพระชายารองหลิ่ว นู๋ปี๋ได้สั่งให้องครักษ์เงาคอยจับตาดูไม่กี่ตระกูลที่คาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องเกี่ยงกับเรื่องนี้ไว้ . วันนี้ยามเช้า. ฮูหยินหลิ่วพลันเดินทางออกนากจวน ไปยังตำหนักเล็ก ๆ เพื่อพบคนผู้หนึ่ง"

หยุนชางที่เพิ่งตื่นขึ้นมานั้น สติพลันยังไม่ทำงานไม่เต็มที่ เพียงครู่หนึ่งจึงมีปฏิกิริยากับคำพูดของเฉี่ยนจั๋วเมื่อครู่ ว่าพูดเรื่องใด เพียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามขึ้นมาว่า "ไปพบผู้ใด ? "

องครักษ์เงาผู้นั้นพลันรีบร้อนตอบกลับมาว่า "กระหม่อมมิเห็นว่าคนในตำหนักผู้นั้นเป็นผู้ใด ภายในตำหนักนั้นมีการปกป้องคุ้มครองอยู่ กระหม่อมจึงเข้าไปใกล้ๆ ไม่ได้พะยะค่ะ หากแต่กระหม่อมได้ยินเสียง เมื่อครั้งที่ฮูหยินหลิ่วเปิดประตูเดินเข้าไปนั้น ได้ยินนางถามกับสาวใช้ว่า นางกำลังทำอันใดอยู่ ภายในตำหนักนั้นมีเพียงสตรีผู้เดียวอาศัยอยู่. กระหม่อมยังได้ยินเสียงพิณดังแว่วแว่วอีกด้วย นอกนั้นกระหม่อมก็มิได้ยินอันใดอีกเลย พะยะค่ะ "

"นาง ?" หยุนชางชะงักไปเล็กน้อย ภายในแววตาราวกลับมีประกายความแวววาวของกองไฟลุกโชนอยู่

"หรือว่า แท้จริงแล้วหลิ่วฉูฉู่ยังมิได้ตาย" หยุนชางพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมพูดพึมพำกับตนเองเบา ๆ

เฉี่ยนจั๋วได้ยินเช่นนั้นพลันตกตะลึง. หากแต่รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก "หลิ่วฉูฉู่มิได้ตาย หากแต่วันนั้นองครักษ์เงาได้เข้าไปในจวนตรวจสอบดูแล้วว่า หลิ่วฉูฉู่ผู้นั้นได้ตายไปแล้วนี่นา"

หยุนชางย้อมกลับไปคิดถึงข้อสงสัยก่อนหน้านั้น แล้วจึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงพูดขึ้นมาว่า "ก่อนหน้านั้นข้านึกสงสัยอยู่แล้วเชียว หากหลิ่วฉูฉู่แต่งเข้าวังอ๋องเจ็ด. ทำไมถึงได้นำสิ่งของติดตัวมาน้อยนัก แม้แต่พิณที่ตนเองชอบอยางพิณเจียวเหว่ยก็ไม่นำมา ราวกลับว่าไม่ได้เต็มใจแต่งเข้ามาอาศัยอยู่ในวังอ๋องเจ็ดเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งท่านอ๋องเคยพูดไว้ว่า พ่อแม่ของหลิ่วฉูฉู่ เมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ได้แสดงถึงความเศร้าเสียใจแต่อย่างใด เกรงว่าวันนั้น. ผู้ที่นั่งเกี้ยวเข้าวังอ๋องเจ็ด แท้จริงแล้วอาจจะมิใช่หลิ่วฉูฉู่ เช่นนั้นก็สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้แล้ว"

หยุนชางพูดจบ พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เงียบไปชั่วครู่ จึงพูดขึ้นมาอีกว่า "หากเป็นอย่างที่พูดจริง วันนั้นเรื่องราวภายในวังอ๋องเจ็ด เกรงว่าจะไม่ใช่อ๋องเจ็ดที่ลงมือเสียแล้ว เป็นไปได้ว่าจะเป็นคนของจวนตระกูลหลิ่วเสียเอง เพื่อที่จะขัดขวางการเข้าวังของหลิ่วฉูฉู่ จึงตั้งใจปกปิดเช่นนี้"

เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางส่ายหัวไปมา "หากแต่ จวนตระกูลหลิ่วในตอนนี้ก็ได้ล้มสลายไปแล้ว การที่จะกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ในวังอ๋องเจ็ดได้ แล้วไม่มีใครพบเห็นนั้น เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง