ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง นิยาย บท 662

หยุนชางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปได้มาก หยุนชางรีบคว้ามือของลั่วชิงเหยียนแล้วพูดว่า "การลอบสังหารเมื่อวานมีวี่แววอันใดหรือไม่?"

ลั่วชิงเหยียนยิ้มอย่างยากจะอธิบาย "ข้าไม่รู้ว่านี่จะนับเป็นวี่แววได้หรือไม่ ฝ่าบาทไม่ได้ให้ข้าเข้าร่วม แต่วันนี้ออกราชโองการมาว่าอ๋องเจ็ดร่างกายไม่สู้ดี ช่วงนี้ให้พักฟื้นอยู่แต่ในจวน ไม่จำเป็นต้องมาร่วมว่าราชการ"

เมื่อหยุนชางได้ยินลั่วชิงเหยียนกล่าวเช่นนั้นก็รู้ได้ว่าคนที่ลอบสังหารเซี่ยหวนอวี่ถูกส่งมาโดยองค์ชายเจ็ด เพียงแต่เขาคงจะไม่ได้คิดจะทำร้ายเซี่ยหวนอวี่จริงๆ เขาย่อมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเซี่ยหวนอวี่ออกจากวังย่อมเตรียมการเป็นอย่างดี เขาคงหวังจะได้รับความดีความชอบจากการช่วยเหลือฝ่าบาทเท่านั้น

หยุนชางยิ้มน้อยๆ "ท่านอ๋องเจ็ดขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ"

ลั่วชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า ดวงตาฉายแววลุ่มลึก "อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้ากลับชักจะรู้สึกชอบการเป็นศัตรูของเขาแล้วสิ เขามักมอบความปรีดาให้อย่างที่เราคาดไม่ถึงอยู่เสมอ"

หยุนชางกลอกตาและตีแขนของลั่วชิงเหยียนอย่างแรง "ยังจะยินดีอีก น่าจะเป็นเรื่องน่าตกใจเสียมากกว่า ท่านอ๋องเจ็ดผู้นี้แผนการลึกล้ำยิ่งนัก ท่านต้องระวังให้ดี"

ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ ยิ้มและดึงหยุนชางลุกขึ้นยืน "เอาล่ะ ไม่พูดถึงเขาแล้ว ข้าหิวแล้วกินข้าวกันเถอะ"

หยุนชางตกตะลึงแล้วจึงรีบลุกขึ้น "แย่แล้ว ข้ามัวแต่คิดเพลิน ลืมสั่งให้คนไปเตรียมอาหารเย็น"

ขณะที่นางพูดฉินยีก็แหวกม่านเดินออกมาจากด้านนอก เมื่อเขาเดินเข้ามาก็ยิ้มและพูดว่า "หม่อมฉันได้สั่งให้คนเตรียมอาหารแล้วเพคะ สำรับมื้อเย็นอยู่ที่ห้องโถงและหม่อมฉันก็ให้คนไปเชิญนายท่านมาแล้วด้วย"

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นหยุนชางก็หัวเราะออกมา นางหันไปหาลั่วชิงเหยียน "ฉินยีรู้ใจข้านัก"

ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ และยิ้มกว้าง "ว่ากันว่าหญิงตั้งครรภ์จะมีความจำแย่ลงนั้นเห็นจะจริง หากไม่มีฉินยี พวกเราคงไม่มีข้าวกินแน่"

หยุนชางถลึงตามองลั่วชิงเหยียนแล้วจึงแค่นเสียงเฮอะ "ไปเถอะ รีบไปกินเร็วเข้า อย่าปล่อยให้ท่านตารอนาน"

เมื่อทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้วก็เดินเล่นไปรอบๆ จวนก่อนจะกลับไปที่ห้อง ลั่วชิงเหยียนไปที่ห้องหนังสือ เมื่อหยุนชางหยิบหนังสือขึ้นมา ฉินยีเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและพูดกับหยุนชางว่า "พระชายา มีข่าวดีเพคะ"

"หือ?" หยุนชางเงยหน้าขึ้น "ข่าวดีอะไรหรือ?"

ฉินยีรีบตอบ "เมื่อครู่มีข่าวมาจากในวังบอกว่าการคัดเลือกนางข้าหลวงเสร็จสิ้นลงแล้วและผู้ที่ฝ่าบาทเลือกก็คือหวังหว่านจือ"

หยุนชางไม่แปลกหูนักกับชื่อนี้ นางหัวเราะและพยักหน้าน้อยๆ "นี่เป็นข่าวดียิ่งนัก หวังหว่านจือได้เป็นนางข้าหลวงข้างกายฝ่าบาทก็หมายความว่าเราสามารถรู้เนื้อหาในฎีกาทุกฉบับที่เหล่าขุนนางถวายให้ฝ่าบาทและราชโองการทุกฉบับของฝ่าบาท เช่นนี้เป็นประโยชน์กับเรานัก"

"ใช่แล้ว หม่อมฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่หวังหว่านจือเพิ่งได้รับเลือก หม่อมฉันใช้รู้สึกว่าเป็นการดีที่สุดที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ เพราะอย่างไรเขาน่าจะถูกหลายฝ่ายจับตาดูอย่างแน่นอนและหากมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเกรงว่าอาจจะถูกพบได้ หม่อมฉันว่าควรรอให้เรื่องสงบลงเสียก่อนแล้วจึงค่อยกระทำการเพคะ" ฉินยีพูดเบาๆ

"อืม หลังจากที่ท่านอ๋องกลับมาแล้วข้าจะคุยกับเขาเสียหน่อย" หยุนชางโบกมือให้ฉินยีนำสมุดบัญชีออกไป นางลุกขึ้นยืนและเดินไปเอนกายลงนอนที่เบาะนุ่ม

ไม่นานหลังจากผล็อยหลับไป หยุนชางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นลั่วชิงเหยียนเกินเข้ามาในห้อง นางกะพริบตาจ้องมองลั่วชิงเหยียน นางมองจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ "ทำไมมองข้าแบบนั้น?"

หยุนชางจึงลุกขึ้นนั่ง "ตอนนี้ยังไม่ถึงยามอู่ ข้ายังอยากจะนอนตื่นสายอยู่เลย เหตุใดวันนี้ท่านจึงได้กลับมาเร็วนักเล่า?"

ลั่วชิงเหยียนยิ้มกว้าง "ไม่มีอะไร เพียงแต่ข้าทะเลาะกับซูฉีที่ท้องพระโรง ฝ่าบาทจึงให้ข้ากลับจวนมาพิจารณาตนเอง ออกจากที่นั่นมาแล้วข้าก็ตรงกลับบ้านเลย"

"ทะเลาะงั้นหรือ?" หยุนชางยิ่งข้องใจมากขึ้นไปอีก เดิมทีลั่วชิงเหยียนมีนิสัยเฉยชา แม้จะไม่พอใจใครเขาก็ลงไม้ลงมือโดยไม่ปริปาก เหตุใดเขาจึงได้เกิดความขัดแย้งกับซูฉี แล้วยังทะเลาะกันต่อหน้าธารกำนัลในท้องพระโรงอีกด้วย

ลั่วชิงเหยียนกลับมีท่าทีไม่ใส่ใจ เขาเดินมานั่งลงที่เบาะแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า "ข้าก็ง่วงเล็กน้อยเช่นกัน ในเมื่อเจ้าอยากนอนต่อ ทำไมไม่ไปนอนบนเตียงกับข้าเล่า?"

ลั่วชิงเหยียนราวกับจงใจยั่วนาง เขาเล่าเพียงครึ่งๆ กลางๆ และไม่ยอมเล่าต่ออีก หยุนชางไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม นางลุกขึ้นคว้าแขนเสื้อของลั่วชิงเหยียนแล้วกล่าวว่า "บอกมาก่อนว่าทำไมท่านถึงได้มีปากเสียงกับซูฉี? สกุลซูมีอำนาจล้นฟ้าในแคว้นเซี่ย ขุนนางในราชสำนักสิบคนล้วนมีหกคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา ท่านปะทะกับซูฉีต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊มากมายแล้วจะจบเรื่องลงได้อย่างไร? ท่านไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ ซูฉีทำอะไรท่านจึงได้โกรธเช่นนั้น?" หลังจากหยุดไปชั่วครู่จึงลดเสียงลงแล้วพูดต่อว่า "เกี่ยวข้องกับข้าหรือ?"

ลั่วชิงเหยียนยิ้มและลูบจมูกของหยุนชางเบาๆ "เจ้าคิดเพ้อเจ้ออะไรกัน? แค่ซูฉีบอกว่าทหารรักษาชายแดนไม่เพียงพอและต้องการส่งกองทัพอวี้หลินไปที่ชายแดน เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ฝ่าบาทแทบจะมอบกองทัพอวี้หลินให้ข้าแล้ว ข้าย่อมไม่เข้าใจว่าทำไมซูฉีจึงทำเช่นนี้ก็ต้องไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว"

"แต่นั่นก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นทะเลาะวิวาท... " หยุนชางขมวดคิ้วและถอนหายใจเบาๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง