หยุนชางยิ้ม สีหน้าของนางดูเหมือนดีอกดีใจ "การที่จักรพรรดิหยวนสามารถขึ้นครองบัลลังก์ด้วยสาเหตุนี้ได้นั้น เป็นเพราะยุคสมัยที่เขาอยู่ บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย แต่ในช่วงที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงปกครองบ้านเมือง พระองค์มีพระพลานามัยที่แข็งแรง และยังเป็นประมุขแห่งแผ่นดินผู้ปราดเปรื่อง ฮองเฮาทรงคิดว่า หากแท่นศิลาเช่นนี้จู่ๆก็โผล่ขึ้นมา ฮ่องเต้จะทรงมีพระวินิจฉัยจัดการอย่างไรล่ะเพคะ?"
ฮองเฮาทรงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วนางก็ยิ้มออกมาในที่สุด "ดี พระชายารุ่ยอ๋องทรงมีไหวพริบดียิ่งนัก แต่ว่าข้ายังสงสัยอยู่จุดหนึ่ง การทำแท่นศิลาเช่นนั้น ผู้ใดก็สามารถสลักข้อความได้ เหตุใดจึงต้องให้ข้าไปตามหาผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านการลอกเลียนแบบลายมือของผู้อื่นมาด้วยเล่า?"
"หากว่าร่องรอยข้อความบนแท่นศิลานั้นเป็นลายมือของเสิ่นซู่เฟย ฮองเฮาทรงคิดว่า ฮ่องเต้จะทรงจัดการอย่างไรล่ะเพคะ?" หยุนชางจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ตนเองกำลังสวมใส่พลางพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
ฮองเฮายิ้มร่าออกมาในทันที "การลงทุนลงแรงเช่นนี้ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว"
หยุนชางก้มหน้าแล้วยิ้ม ส่วนฮองเฮาก็ทอดพระเนตรไปยังผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหา "คนในตำหนักเจ้ามาหาเจ้าแล้ว คงจะมีธุระสำคัญ เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ"
หยุนชางหันไปดู ก็ได้เห็นไฉ่ยีกำลังเดินมาด้วยความรีบเร่ง นางทำการคารวะหยุนชาง
ส่วนฮองเฮาก็ได้พานางกำนัลเดินออกไปจากตรงจุดนั้นเรียบร้อย
"พระชายาเพคะ" ไฉ่ยีเดินเข้ามาใกล้หยุนชาง เมื่อนางเห็นว่าฮองเฮาได้เดินคล้อยหลังไปไกลแล้ว จึงพูดออกมาเบาๆว่า "ขันทีฉีแห่งกรมวังมารอเข้าเฝ้าอยู่เพคะ"
ฉีรุ่ยไห่ เขาจะมาทำไมกัน? หยุนชางขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับไปยังตำหนักเฉาเซี่ย
ไฉ่ยีเดินตามหยุนชางไปด้วย ระหว่างทาง นางก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า "หม่อมฉันเห็นว่าเมื่อครู่นี้นั้น ฮองเฮาทรงดูสำราญมากกว่าปกติ นานๆทีจึงจะเห็นนางเป็นเช่นนี้ นอกจากช่วงเวลาที่นางประทับอยู่กับฮ่องเต้แล้ว เวลาอื่นๆก็แทบจะไม่ได้เห็นฮองเฮาแย้มพระสรวลเลยนะเพคะ"
เมื่อหยุนชางได้ยินไฉ่ยีพูดเช่นนั้นแล้ว นางก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย "เมื่อครู่นี้ข้ากับนางเพิ่งกลับมาจากการเยี่ยมเสิ่นซู่เฟยที่ตำหนักอู๋เหยียน เสิ่นซู่เฟยดูซูบลงไปถนัดตา สาแก่ใจฮองเฮายิ่งแล้ว จึงทำให้ฮองเฮาทรงสำราญเป็นพิเศษ"
คำพูดของหยุนชาง ทำให้ไฉ่ยีเงียบไป ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ฉีรุ่ยไห่นั่งรอมานานมากแล้ว หยุนชางมองเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของเขามาตั้งแต่ยังยืนอยู่ไกลกัน หยุนชางยิ้มแล้วมุ่งหน้าเดินมายังตำหนัก
"ไม่ทราบว่าขันทีฉีมาพบข้าในวันนี้มีธุระอะไรหรือ? เรื่องสาวใช้ของข้า ขันทีฉีพอจะมีความคืบหน้ามาแล้วหรือยัง?" หยุนชางเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ สายตาจับจ้องไปที่ขันทีฉี
ขันทีฉีรีบปรับเปลี่ยนสีหน้า เขาฝืนยิ้ม เป็นยิ้มที่ดูชอบมาพากลยิ่งนัก "ทูลพระชายา หม่อมฉันรู้สึกแย่ยิ่งนัก ในเวลานี้ยังไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับแม่นางเฉี่ยนจั๋วเลยพ่ะย่ะค่ะ"
หยุนชางได้ฟังจึงขมวดคิ้วขึ้นมา แววตาของนางดูจะไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก "ผู้ที่ข้านำเข้ามาในวังหลวงในฐานะผู้ติดตามก็มีเพียงสาวใช้ 2 คนเท่านั้น ในเวลานี้ หนึ่งในนั้นก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว กรมวังที่คอยสอดส่องดูแลผู้คนนับหมื่น กลับหาตัวสาวใช้คนหนึ่งไม่พบ ทำให้ข้าได้มองเห็นอะไรอีกหลายอย่างจริงๆ"
เมื่อฉีรุ่ยไห่ได้ถูกหยุนชางประชดประชันเช่นนั้นแล้ว เขาแทบจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็จำต้องฝืนทำหน้าที่ไปตามปกติ "ทำให้พระชายาต้องทรงขุ่นเคืองพระทัย เป็นความผิดของหม่อมฉันเองพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะเพิ่มกำลังคนในการออกค้นหาสาวใช้ของพระชายาจนทั่วทั้งพระราชวังพ่ะย่ะค่ะ"
หยุนชางพยักหน้า แล้วมองไปยังฉีรุ่ยไห่อีกครั้ง "ไม่ทราบว่าที่ขันทีฉีได้เข้ามาพบข้าในวันนี้ มีจุดประสงค์อะไรหรือ?"
ฉีรุ่ยไห่ที่ได้ยินคำถามตรงประเด็นเช่นนั้นก็ตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า "หม่อมฉันหาได้มีธุระสำคัญอันใดไม่ เพียงแต่หม่อมฉันได้เดินผ่านตำหนักเฉาเซี่ย จึงถือโอกาสมาคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ในตำหนักเฉาเซี่ยช่วงนี้ สถานการณ์ทุกอย่างเป็นปกติดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
หยุนชางเงยหน้ามาสังเกตสีหน้าของฉีรุ่ยไห่ หลังจากนั้น นางจึงยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า "สาวใช้ของข้าหายตัวไปทั้งคน ถือว่าสถานการณ์ปกติดีหรือไม่ล่ะ?"
ฉีรุ่ยไห่ถึงกับทำตัวไม่ถูก เขาได้แต่ยืนก้มหน้า ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของหยุนชางอย่างไรดี
"พระชายาเพคะ ไฉ่ยีออกไปแล้วเพคะ" ฉินยีร้องบอกหยุนชาง
หยุนชางที่นอนหลับตาอยู่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาพร้อมกับแสยะยิ้ม "ได้ส่งคนไปสะกดรอยตามนางแล้วหรือยัง?"
ฉินยีพยักหน้า นางหยิบกระดาษม้วนหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อแล้วส่งให้กับหยุนชาง "นี่เป็นข้อมูลที่สายลับส่งมา เป็นข้อมูลของไฉ่ยีและฉีรุ่ยไห่ รวมถึงข้อมูลของเซี่ยงเหวินและเซี่ยงฝูด้วยเพคะ"
หยุนชางรับกระดาษมาแล้วคลี่ออก บนกระดาษปรากฏข้อความมากมาย หยุนชางอ่านดูสักพัก ก่อนจะเขวี้ยงกระดาษใบนั้นทิ้งไป กระดาษใบนั้นลอยไปตกลงบนเตาผิงที่มีไฟลุกโชน เพียงเสี้ยววินาที กระดาษใบนั้นก็ไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรทั้งสิ้น
หยุนชางเอนกายลงบนที่นอนแล้วค่อยๆหลับตา นางพึมพำอยู่คนเดียวว่า "ที่แท้ ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง"
ฉินยีเห็นว่าหยุนชางมีท่าทางอ่อนล้า แล้วยิ่งเห็นนางพูดพึมพำอยู่คนเดียวเช่นนั้น ฉินยีจึงรีบถามนางว่า "พระชายาทรงทราบเบาะแสอะไรมาหรือเพคะ?"
หยุนชางยิ้มอย่างเศร้าๆ "ยิ่งกว่ารู้เบาะแสเสียอีก เรื่องเกี่ยวกับหลิวเกิงยี ข้าเข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว"
ฉินยีครุ่นคิด นางมองไปที่หยุนชาง "รวมถึงเงื่อนงำของเรื่องเฉี่ยนจั๋วด้วยใช่ไหมเพคะ?"
หยุนชางพยักหน้า "รวมถึงเงื่อนงำของเรื่องเฉี่ยนจั๋วด้วย"
ฉินยีอยากถามหยุนชางว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่เมื่อเห็นท่าทางเหนื่อยล้าของหยุนชางแล้ว นางก็ได้แต่ยืนอยู่เงียบๆ แล้วรินชาให้กับหยุนชางถ้วยหนึ่ง
หยุนชางรับเอาถ้วยน้ำชามา นางค่อยๆจิบชา แล้วพูดออกมาว่า "หลิวเกิงยี เป็นผู้ที่ไฉ่ยีบงการให้เซี่ยงเหวินและเซี่ยงฝูเป็นคนร่วมกันสังหาร"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...