ทันใดนั้น หยุนชางก็ได้นึกถึงเหตุการณ์ที่สายลับเคยนำมารายงานก่อนหน้านี้ว่า เมื่อครั้งที่เสิ่นซู่เฟยเพิ่งถูกส่งตัวมายังตำหนักเย็น ฮองเฮาอยากจะมาเยาะเย้ยนาง แต่กลับถูกทหารองครักษ์ขวางเอาไว้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ปล่อยให้นางผ่านเข้าไปในเขตตำหนักเย็น ฮองเฮาจำต้องเสด็จกลับด้วยท่าทางที่โกรธพลุ่งพล่าน
หยุนชางมองดูฮองเฮาที่กำลังวางมาดสูงส่งพลางคิดในใจว่า แม้ว่าเสิ่นซู่เฟยจะกระทำความผิดใหญ่หลวง แต่เซี่ยหวนอวี่ก็ยังคงหาทางปกป้องนาง ในพระทัยของฮองเฮา ก็คงจะอัดแน่นไปด้วยไฟริษยานั่นเอง
ทหารองครักษ์นายหนึ่งหยิบป้ายทองคำจากนางกำนัลมาตรวจสอบอย่างละเอียด จากนั้นจึงพยักหน้า แล้วจึงสั่งให้ทหารองครักษ์อีกคนช่วยกันเปิดประตู
ในขณะนั้นเอง หยุนชางก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ในวังหลวงมีการคุ้มกันสถานที่ต่างๆอย่างแน่นหนาจริงๆเลยเพคะ หากหม่อมฉันไม่ทราบมาก่อนว่าที่นี่คือตำหนักเย็น เห็นมีทหารองครักษ์คอยสอดส่องดูแลอยู่มากมายเช่นนี้ หม่อมฉันคงจะหลงคิดว่าที่นี่คือที่พักของบุคคลสำคัญเสียอีก ดูเหมือนว่าจะมีการคุ้มกันของตำหนักไท่จี๋ของฮ่องเต้ที่จะมีทหารองครักษ์อยู่มากมายถึงเพียงนี้นะเพคะ"
หยุนชางสังเกตได้ว่า สีพระพักตร์ของฮองเฮาได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ประตูทางเข้าได้ถูกเปิดออก ด้านหน้าของตัวตำหนักเย็นเป็นสวนขนาดเล็กซึ่งมีหญ้ารกชัฏขึ้นปกคลุม ดูไม่เจริญหูเจริญตา หยุนชางมองเข้าไปด้านในของสวน ก็ได้พบกับเก้าอี้เก่าๆสภาพใกล้พังตัวหนึ่ง มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น นางปล่อยผมสยาย และนั่งหลับตาเงียบๆ ข้างกายหญิงสาวมีมามาแก่ๆนางหนึ่งกำลังยืนพูดอะไรบางอย่าง
เหมือนว่าสองคนนั้นจะได้ยินเสียงประตูที่ถูกเปิดออก พวกนางหันมามองที่ประตู
รูปร่างลักษณะของหญิงชุดขาวก็มองเห็นได้ถนัดตามากยิ่งขึ้น ใบหน้าของนางดูหมดจด ผิวกายของนางขาวซีด สายตาของนางมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ดังเช่นที่เคยเป็นมา
ฮองเฮาแสยะยิ้มออกมาในทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวนางนั้น "ดูเข้าสิ น้องหญิงซู่เฟยคงจะใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักอู๋เหยียนแห่งนี้อย่างมีความสุขมากเลยสินะ?"
เสิ่นซู่เฟยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วจึงเมินหน้าหนีไปอีกทาง "ก็ไม่เลวนะเพคะ แม้จะไม่หรูหราฟู่ฟ่า แต่ก็สงบเงียบดี หามีผู้ใดมากวนใจไม่ ดูฮองเฮาสิเพคะ ดูจะทรงทุกข์ร้อนยิ่งกว่าหม่อมฉันที่อาศัยอยู่ในตำหนักเย็นเสียอีก ทรงยืนอยู่ข้างๆพระชายารุ่ยอ๋องผู้เลอโฉม แต่ดูเหมือนว่านางจะมีสง่าราศีมากกว่าพระองค์ในตอนนี้เสียอีกนะเพคะ โถ......"
หยุนชางสังเกตเห็นพระหัตถ์ของฮองเฮาที่กำลังเกาะแขนของนางกำนัลอยู่ได้เพิ่มแรงกดมากขึ้นเรื่อยๆ นางแอบหัวเราะอยู่ในใจ เสิ่นซู่เฟยนี่ก็ช่างกระไร แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ยังมีกะจิตกะใจไปยั่วโมโหฮองเฮาอยู่อีก
หยุนชางมองไปยังใบหน้าที่ดูเรียบเฉยของเสิ่นซู่เฟย แล้วจึงเอ่ยกับนางไปว่า "หลายวันมานี้เสิ่นซู่เฟยคงจะลำบากไม่น้อย เมื่อไม่นานมานี้ได้มีพระราชพิธีหมื่นพรรษา เนื่องจากพระสนมเซียงกุ้ยผินและฮุ่ยจาวอี๋ต่างก็กำลังตั้งพระครรภ์ทายาทให้กับฮ่องเต้ วันนี้ฮองเฮาทรงดูแลราชกิจวังหลังพระองค์เดียว หามีผู้ใดช่วยไม่ ฮองเฮาจึงเสด็จมาถึงที่นี่ช้า ทำให้เสิ่นซู่เฟยและเสียนฮูหยินต้องรอการพระราชทานของกำนัลอยู่นาน"
ฮองเฮาเข้าพระทัยความหมายของคำพูดจากหยุนชางเป็นอย่างดี นางแย้มพระสรวลแล้วตรัสออกมาว่า "ใช่แล้ว วันนี้ฮ่องเต้ทรงยุ่งอยู่กับพระราชกรณียกิจมากมาย จนลืมนึกถึงน้องหญิงซู่เฟยไป เด็กๆ นำของเข้ามาได้"
หยุนชางคอยจดจ้องสีหน้าท่าทางของเสิ่นซู่เฟยอยู่ตลอดเวลา เสิ่นซู่เฟยในตอนนี้หน้าซีดเผือด มือของนางสั่นเบาๆ นางได้เอ่ยขึ้นมาว่า "นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ยังทรงจำหม่อมฉันได้อยู่"
เสิ่นซู่เฟยพยายามยั่วโมโหฮองเฮา นางต้องการแสดงให้ฮองเฮาได้เห็นว่า แม้ในตอนนี้เซียงกุ้ยผินและฮุ่ยจาวอี๋จะกำลังตั้งครรภ์ ทว่าเซี่ยหวนอวี่นั้นก็ยังทรงระลึกถึงนางและยังพระราชทานของกำนัลมาให้นางด้วย คงจะทรงลืมคนรักเก่าไม่ได้นั่นเอง
แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเสิ่นซู่เฟยจะไม่เป็นผล เมื่อฮองเฮาได้ฟังดังนั้นแล้วกลับหัวเราะออกมา "เจ้าอย่าน้อยเนื้อต่ำใจไปเลย สองวันมานี้ ฮ่องเต้ทรงยุ่งมากจริงๆ หากไม่ได้ชางเอ๋อร์ช่วยเตือนความจำแล้วล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ข้าเองก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน"
เมื่อถูกฮองเฮาขานชื่อ หยุนชางก็ยังคงยืนยิ้มอยู่ที่เดิมพลางหมั่นสังเกตสถานการณ์รอบๆตัว
ฮองเฮาหันมามองดูหยุนชาง "แม้ว่าตอนนี้นางจะถูกจองจำอยู่ในตำหนักเย็น แต่ข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้เลย เจ้าลองว่ามาซิ ข้าควรจะทำเช่นไรดี?"
หยุนชางกำลังครุ่นคิดถึงสัญลักษณ์มือของเสิ่นซู่เฟย เมื่อได้ยินฮองเฮาทรงตั้งคำถามมาเช่นนั้นแล้ว นางจึงเอ่ยถามฮองเฮาเบาๆว่า "ไม่ทราบว่าตอนนี้ฉีอ๋องประทับอยู่ในเมืองจิ่นหรือเปล่าเพคะ?"
เมื่อฮองเฮาได้ฟังหยุนชางเอ่ยถามเช่นนั้นแล้ว นางก็หยุดเดินแล้วยืนนิ่งอยู่สักพัก ไม่นานนักก็แย้มพระสรวลออกมา "เจ้านี่ช่างฉลาดเหลือเกิน ตอนนี้ฉีอ๋องอยู่ในเมืองจิ่น แต่ผู้หญิงคนนั้นทั้งรักและหวงแหนลูกชายของนางมาก ผู้ที่คอยดูแลติดตามลูกชายของนางล้วนเป็นผู้ที่จงรักภักดี และยังมีฝีมือในเชิงการต่อสู้ หากมีผู้ใดคิดจะมาทำร้ายลูกชายของนางแล้วล่ะก็ คงจะยาก"
ฮองเฮาหันไปสังเกตสีหน้าของหยุนชาง แล้วจึงเอ่ยถามต่อไปว่า "ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว เจ้ามีแผนการอะไรบ้างหรือไม่?"
หยุนชางยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า "ตอนนี้หม่อมฉันอาศัยอยู่ที่ตำหนักเฉาเซี่ย หม่อมฉันเคยได้ฟังเรื่องราวขององค์หญิงใหญ่มาบ้างแล้ว หม่อมฉันทราบมาว่า นางมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือการลอกเลียนแบบลายมือผู้อื่น บนโลกใบนี้ คงมิได้มีเพียงแค่องค์หญิงใหญ่ที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ฮองเฮาทรงพอจะมีวิธีหาผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้มาได้หรือไม่เพคะ?"
ฮองเฮาทอดพระเนตรมาที่หยุนชาง แล้วจึงตรัสออกมาว่า "มีสิ แต่ข้าสงสัยยิ่งนัก เจ้าจะนำคนเช่นนี้มาทำอะไรงั้นหรือ?"
"หม่อมฉันเคยได้ฟังเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งมา ในช่วงบั้นปลายของแคว้นจ๊ก บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย พลันมีศิลาแท่นหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ บนแท่นศิลานั้นมีวันเดือนปีและเวลาเกิดของจักรพรรดิหยวนแห่งแคว้นเซี่ยสลักเอาไว้ ด้านล่างวันเดือนปีและเวลาเกิดมีคำว่าฟ้าดินลิขิต ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงลงความเห็นให้จักรพรรดิหยวนเป็นผู้ที่ฟ้าได้ลิขิตให้ลงมาปกครองอาณาเขต เขาถูกสถาปนาขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิ เป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งแคว้นเซี่ยเพคะ" หยุนชางบรรยายเรื่องราว "ที่หม่อมฉันขอให้ฮองเฮาทรงหาผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นมานั้น ก็เพราะอยากจะให้เขาช่วยสลักข้อความลงบนแท่นศิลาเพคะ ด้านบนเขียนวันเดือนปีและเวลาเกิดของฉีอ๋อง ส่วนด้านล่างให้เขียนคำว่าฟ้าดินลิขิตเพคะ"
ฮองเฮาทรงไตร่ตรองในสิ่งที่หยุนชางได้พูดไป แล้วนางก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา "แล้วนี่จะไม่เป็นการช่วยเหลือฉีอ๋องหรอกหรือ? ราษฎรแคว้นเซี่ยบูชานับถือความเชื่อมากมาย หากทำเช่นนั้นล่ะก็ เกรงว่าราษฎรจะพากันแห่แหนไปเทอดทูนฉีอ๋องน่ะสิ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...