เซี่ยหวนอวี่ลูบไปที่พระธำมรงค์หยก เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย "ไม่ว่านางจะเข้าวังมาได้อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางก็ถือว่าเป็นสนมคนหนึ่งของข้าแล้ว ยังจะมีเหตุผลใดในการให้นางออกไปนอกวังอีก? แต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่เคยมีการขับไล่นางสนมออกไปนอกวังเช่นนี้มาก่อนเลย"
"ฮ่องเต้ทรงรับสั่งเองนะเพคะ หม่อมฉันได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ไว้ หากหม่อมฉันปรารถนาสิ่งใดก็เพียงแค่กราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ฮ่องเต้ตรัสแล้วหาคืนคำไม่ ส่วนเรื่องที่พระองค์ตรัสว่า แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีการขับไล่นางสนมออกไปนอกวังเช่นนี้มาก่อนนั้น ถ้าหากในวังมีนางกำนัลหายไปสักคน คงจะไม่เป็นไรกระมังเพคะ" หยุนชางที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าพระพักตร์เซี่ยหวนอวี่กล่าวขึ้น
แววพระเนตรของเซี่ยหวนอวี่เต็มไปด้วยความสับสน "สิ่งที่เจ้าปรารถนา นั่นคือเซียงเฟยที่อยู่ที่ตำหนักเซียงจู๋?"
หยุนชางตกใจเล็กน้อย เหตุใดเซี่ยหวนอวี่จึงได้เอ่ยถามเช่นนี้ หรือเขาจะรู้แล้วว่าเซียงเฟยที่อยู่ในตำหนักเซียงจู๋ในเวลานี้หาใช่หนิงเชียนไม่? คงไม่กระมัง หากเขารู้แล้ว ในวังก็ต้องมีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นบ้างสิ
หยุนชางครุ่นคิดอยู่สักพัก นางรู้สึกไม่กล้าเสี่ยง จึงได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ในวังก็มีเซียงเฟยแค่เพียงคนเดียว หากผู้ที่อยู่ในตำหนักเซียงจู๋ไม่อยู่แล้ว ก็หมายความว่าไม่มีเซียงเฟยแล้วน่ะสิเพคะ"
เซี่ยหวนอวี่ทอดพระเนตรมาที่หยุนชาง เขาตรัสด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า "ข้ารู้ดี ช่วงนี้เจ้าต้องลำบากไม่น้อยเลย จงกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ"
หยุนชางทูลลา แล้วจึงเดินออกมา
ยังไม่ทันที่หยุนชางจะเดินพ้นจากตำหนัก ข่าวการวางแผนก่อกบฏขององค์หญิงใหญ่ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองจิ่น เมื่อหยุนชางเดินออกมาจากตำหนักไท่จี๋แล้ว นางก็ได้เห็นนางกำนัลในชุดสีเขียวยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อนางกำนัลเห็นหยุนชางออกมาแล้ว จึงเดินมาคารวะและเอ่ยว่า "ทูลพระชายารุ่ยอ๋อง หม่อมฉันเป็นนางกำนัลของวังซู่หย่า พระสนมซู่เฟยทรงสั่งให้หม่อมฉันมาทูลเชิญพระชายาไปนั่งพูดคุยที่วังซู่หย่าเพคะ"
ซู่เฟย......
หยุนชางมองดูนางกำนัลที่ยืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงพยักหน้า "ได้ ไปกันเถอะ"
เมื่อมาถึงวังซู่หย่าแล้ว ซู่เฟยยังคงอยู่ในชุดสำหรับเข้าร่วมพิธี คงเป็นเพราะวันนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น สีหน้าของนางจึงดูอิดโรยกว่าปกติ
หยุนชางเดินเข้าไปและโน้มตัวลงแสดงความเคารพ ซู่เฟยรีบหันมาพูดกับนางว่า "ท่านกำลังทรงครรภ์ ไม่ต้องมากพิธีหรอกนะ"
พูดจบก็พยุงหยุนชางให้ลุกขึ้น แล้วหันไปสั่งนางกำนัลให้ไปนำน้ำชาและเครื่องว่างมาถวาย "ข้าเข้าใจมาตลอดว่าท่านได้ตามเสด็จรุ่ยอ๋องไปยังเมืองชางหนาน เพิ่งจะทราบว่าท่านมิได้เสด็จไปด้วย"
ถึงแม้ว่าหยุนชางจะเคยได้ยินสิ่งที่เซี่ยหวนอวี่ตรัสกับองค์หญิงใหญ่มาแล้ว นางรู้ดีว่าซู่เฟยก็คือสายลับคนหนึ่งของเซี่ยหวนอวี่นั่นเอง หาได้มีพิษมีภัยไม่ แต่ที่ผ่านมา หยุนชางได้มองว่าซู่เฟยเป็นศัตรูคนหนึ่งมาโดยตลอด หลังจากที่หยุนชางได้รู้ความจริงข้อนี้แล้ว ทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูกตลอดเวลาที่ได้นั่งพูดคุยกับซู่เฟย
"ก็มิเชิงว่ามิได้ตามเสด็จไปเลยหรอกเพคะ เพียงแค่ตามเสด็จไปได้เพียงครึ่งทางแล้วจึงกลับมาเพคะ ในเมืองจิ่นมีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย หม่อมฉันคงตามเสด็จรุ่ยอ๋องไปไม่ได้หรอกเพคะ" หยุนชางพูดพลางยิ้ม
ซู่เฟยเองก็ได้ยิ้มตอบ "จริงสินะ พระชายารุ่ยอ๋องคงจะลำบากไม่น้อยเลย เมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้พบกับองค์หญิงใหญ่ นางโกนพระเกศาจนโล้น แล้วแต่งองค์เช่นนักบวช ทำเอาข้าตกตะลึงไปสักพัก เกิดเป็นสตรี แต่กลับกล้าที่จะเมินเฉยต่อความงามในรูปโฉมของตนเอง ช่างน่านับถือในความเด็ดเดี่ยวของนางยิ่งนัก"
เมื่อหยุนชางได้ฟังแล้วก็พยักหน้า "ก่อนหน้านี้นางก็ได้ปลอมตัวเป็นหญิงขอทาน คอยเฝ้าอยู่หน้าจวนรุ่ยอ๋องอยู่ตลอดเวลานานกว่าครึ่งเดือนเพคะ ต่อมาก็ได้ปลอมตัวเป็นนายบัญขี องค์หญิงใหญ่ช่างลงทุนมากเสียเหลือเกินนะเพคะ"
แล้วคนทั้งสองก็ได้หัวเราะขึ้นมา ซู่เฟยมองดูหยุนชางแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีว่า "ที่ผ่านมาข้ามีความจำเป็นที่จะต้องคอยชิงดีชิงเด่นกับพระชายา แต่ในใจข้ากลับชื่นชอบอุปนิสัยและความเฉลียวฉลาดของท่านมาก หากพระชายาไม่ทรงรังเกียจ เมื่อมีเวลาว่าง ก็เชิญเสด็จมาพูดคุยเล่นที่วังซู่หย่าอีกนะ"
เมื่อหยุนชางได้ฟังดังนั้นแล้วก็หัวเราะ "แต่ว่าเจ้าได้ปล่อยให้เหยียนเอ๋อร์ต้องอยู่ที่นั่น เป็นเหตุให้ข้าต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอให้ฮ่องเต้ปล่อยตัวนางออกมา"
หญิงสาวนางนั้นยิ้มออกมา "หม่อมฉันไม่ทราบมาก่อนว่านางจะเป็นน้องสาวของคุณชายหวัง นึกว่านางจะเป็นแค่สายลับธรรมดาคนหนึ่งเสียอีก ครั้งนี้ถือว่าหม่อมฉันหนิงเชียนเป็นหนี้บุญคุณนาง สักวันหนึ่งจะต้องหาทางตอบแทนนางอย่างแน่นอนเพคะ"
หยุนชางคิดในใจว่า หากว่าหวังจินเหยียนต้องการให้หนิงเชียนตอบแทนน้ำใจของนาง เกรงว่านางจะขอให้หนิงเชียนมาเป็นพี่สะใภ้ตัวเองน่ะสิ
"เสียใจหรือไม่ที่ต้องออกจากวัง?" หยุนชางมองหน้าหนิงเชียน "หากว่าเจ้าชอบการใช้ชีวิตในวัง ข้าก็จะช่วยให้เจ้าได้กลับไปเป็นเซียงกุ้ยผินตามเดิม ในวังยังคงมีเรื่องให้ต้องสืบค้นอีกมาก"
หนิงเชียนพยักหน้า "ตอนนี้พระชายาก็ได้ส่งคนเข้าไปในวังไม่น้อยแล้ว ขาดหม่อมฉันแค่เพียงคนเดียวคงไม่เป็นไรหรอกเพคะ อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิก็ไม่ต่างกับอยู่ใกล้เสือ เซี่ยหวนอวี่หามีความรักต่อผู้ใดไม่ เขาเป็นนักวางแผน มีหลายครั้งที่หม่อมฉันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดที่จะทำสิ่งใด ความรู้สึกของการตกเป็นหมากบนกระดานของผู้อื่น เป็นความรู้สึกที่หม่อมฉันไม่เคยปรารถนาเลยเพคะ"
"ก็ดี" หยุนชางกล่าว แล้วก็ได้เอ่ยถามต่อไปอีกว่า "ตอนนี้เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะหาคนพาออกเรือนได้แล้วนะ"
หนิงเชียนตกตะลึง นางจ้องมองมาที่หยุนชาง "ไม่ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะเพคะ แม้แต่หอนางโลมหม่อมฉันก็เคยผ่านมาแล้ว และยังเคยเป็นนางสนมอีก จะแต่งงานใหม่ได้อย่างไรกันล่ะเพคะ? หม่อมฉันขออยู่รับใช้เคียงข้างพระชายาเช่นนี้ก็พอใจแล้วเพคะ"
เมื่อหยุนชางได้ฟังแล้วก็ยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย นางก้มหน้า ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ ทันใดนั้นเอง นางก็นึกไปถึงคำพูดของหวังจิ้นฮวนขึ้นมา หวังจิ้นฮวนก็อยู่ในวังมาเป็นเวลานานแล้ว ที่เขายอมทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ๆหนิงเชียน แม้ว่าหวังจิ้นฮวนผู้นี้จะทำตัวร่าเริงในแต่ละวัน แต่เขากลับปักใจรักหนิงเชียนอย่างจริงจัง เพียงแต่หนิงเชียนคงยากที่จะลงเอยกับเขา หวังจิ้นฮวนเป็นถึงลูกชายของรองเจ้ากรมกลาโหมแห่งแคว้นหนิง ลูกชายเพียงคนเดียว ตระกูลหวัง คงจะทำใจยอมรับอดีตของหนิงเชียนได้ยาก
หยุนชางครุ่นคิดไปมา แล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...