หยุนชางรีบเดินมาที่ด้านข้างของแผ่นกระบะทราย แล้วจึงนำธงที่ปักลงไปเมื่อครู่นั้นเก็บลับมาทั้งหมด แล้วจึงช่วยลั่วชิงเหยียนย้ายธงจากจาน่ามาที่มู่ถัวดังเดิม
"หม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่นะเพคะ มีคำกล่าวไว้ว่า. สตรีคลอดลูกครั้งหนึ่งก็จะโง่ไปสามปี. เนื่องจากเป็นเพราะเด็กในท้องคนนี้ จึงทำให้สมองของหม่อมฉันคิดการอันใดได้ช้าลง ในยามนี้หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจึงทำการเก็บธงคืน " พร้อมลอบมองไปที่เอวของลั่วชิงเหยียน และกร่นวาจาที่ดุร้ายออกมา
ลั่วชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมา พลางพยักหน้ารับคำว่า "ได้ๆ เป็นเพราะเคล็บลับที่ผิดพลาดเช่นนี้ จึงได้เห็นเจ้าโง่ลง"
หยุนชางเมื่อได้ยินลั่วชิงเหยียนกล่าวเช่นนี้ออกมา จึงถลึงตาใส่เขาด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงฮึดฮัดออกมา พลางนำธงในมือไปวางรวมไว้อีกที่
ลั่วชิงเหยียนเห็นการวางตำแหน่งธงของหยุนชางนั้น พลันยิ้มออกมา "ตัดสินใจได้แล้วงั้นหรือ?"
หยุนชางเพียงแค่พยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ออกมา"ตัดสินใจแล้วเพคะ. กองทัพของท่าน จักต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ฮวากั๋วกงและหลิ่วหยินเฟิงต้องอยู่ที่นี่ด้วยเป็นแน่"
"โอ้ ? " ลั่วชิงเหยียนพลันเงยหน้ามองมาที่หยุนชาง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "เหตุใดถึงมั่นใจนัก?"
หยุนชางจึงหันหน้าไปมองอินทรีที่เกาะอยู่บนหน้าต่างในตอนนี้ พลางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า "เป็นเพราะมัน"
"มัน ? " ลั่วชิงเหยียนมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
หยุนชางพยักหน้าทันที. น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย "ก่อนหน้านั้น. เมื่อครั้งที่อินทรีทั้งสองตัวส่งข่าวมาให้หม่อมฉัน จะต้องมาพร้อมกัน. หม่อมฉันจึงเข้าใจว่า พวกเขาอยู่เป็นคู่เช่นนั้นอยู่แล้ว มาพร้อมกันกลับพร้อมกัน. หากแต่เมื่อครู่ ที่ท่านกล่าวกับหม่อมฉัน เนื่องจากว่าวันนี้มิต้องส่งข่าวให้หม่อมฉันแล้ว จึงปล่อยมันออกมาเพียงตัวเดียวเท่านั้น "
"นั้นหมายความว่าอย่างไรกันเพคะ ?" สายตาที่แวววาวระยิบระยับกำลังจับจ้องไปที่ลั่วชิงเหยียน "นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่อินทรีมาส่งข่าว ทั้งสองตัวล้วนแต่มีภารกิจที่ต้องจัดการ หากแต่. มีตัวหนึ่งที่ส่งข่าวเสร็จแล้ว อินทรีทั้งสองตัวจึงเดินทางมาหาหม่อมฉันเมื่อนั้น มักจะมีอินทรีเพียงตัวหนึ่งที่ไม่มีอะไรห้อยกลับมาที่เท้า"
"จากเมืองชางหนานมายังคังหยางนั้น มิใช่ว่าผ่านหลายเมืองหรอกหรือ. แคว้นหนิงมีเมืองจิ่งหยาง หวายอิน. เป็นเพราะยามนี้แคว้นหนิงและแคว้นเซี่ยเป็นพันธมิตรต่อกัน ทัพใหญ่คงไม่อาจอยู่ที่แคว้นหนิงได้. เพราะฉะนั้น ทั้งสองเมืองจึงถูกตัดทิ้งไป หลังจากนั้นย่อมต้องเป้นเมืองหลิงซี. ทว่าทั้งอ๋องเจ็ดและชางเจียชิงซูพวกเขาล้วนแต่อยู่ในเมืองหลิงซี. นั่นจึงเป็นไปไม่ได้เลย. เช่นนั้น. จึงเหลือตัวเลือกเพียงตัวเดียวแล้ว ย่อมต้องเป็นทางที่พวกเราเพิ่งจะผ่านมา คือหวายอิน"
หยุนชางพลันเงยหน้าขึ้นไปมองลั่วชิงเหยียน สายตากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ "ท่านอ๋อง หม่อมฉันทายถูกหรือไม่เพคะ? ทัพใหญ่จักต้องอยู่ที่หวายอินเป็นแน่ ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้ล้วนแต่อยู่ที่หวายอิน"
ลั่วชิงเหยียนพลันเหยียดมือขึ้นมาลูบหัวของหยุนชางเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนพร้อมกล่าวออกมาว่า "ยังเป็นชางเอ๋อร์ที่เข้าใจข้า"
หยุนชางพลันหัวเราะคิกคักออกมา พร้อมกับขมวดคิ้วลงว่า "หากแต่หม่อมฉันยังมิค่อยเข้าใจนัก ทัพใหญ่อยู่ที่หวายอินเช่นนี้. เราจักสามารถโจมตีทัพม้าของแคว้นเย้หลางได้อย่างไรกัน ? อีกทั้ง. ระหว่างทางยังมีเมืองหลิงซีอีก ทั้งอ๋องเจ็ดและชางเจียชิงซูล้วนแต่มีกองทัพของตนเองที่อยู่ที่เมืองหลิงซี หากกลับไปยังเมืองชังหนาน นั่นมิเท่ากับว่าเราตกอยู่ในวงล้อมของแคว้นเย้หลางหรอกหรือ ?"
ลั่วชิงเหยียนยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก "เจ้าลองเดาเสีย. หากแต่อย่าได้ลืมไป. พวกเรายังอยู่ในการรบของกระบะทรายอยู่. หากเจ้าเป็นผู้โจมตี คราต่อไป เจ้าจักต้องเดินไปที่ใด?"
หยุนชางเบิกตามองไปที่ลั่วชิงเหยียน พร้อมทั้งรีบหันกลับไปมองกระบะทรายของตน. ครุ่นคิดอยุ่ครู่หนึ่ง หยุนชางจึงค่อยย้ายธงอย่างระมัดระวัง ใช้พลธนูและทัพม้า เพื่อโจมตีจากทางด้านขวาของเมืองหลิงซีเพื่อปิดล้อมไว้ครึ่งหนึ่ง ทางซ้ายจากช่องว่างระหว่างเมืองชังหนานและหลิงซีอย่างไรก็ต้องมีกองกำลังคอยซุ่มโจมตีอยู่เป็นแน่
สิ่งแรกที่หยุนชางคิดคือ การใช้ประโยชน์จากความไม่พร้อมของศัตรูการโจมตีจากทางด้านขวา แล้วจึงเดินทางเข้าไปที่แม่น้ำโม่ฮว๋าย. จากนั้นเขาก็ต่อสู้กลับจากแม่น้ำโม่ฮว๋าย แล้วใช้ประโยชน์จากทหารราบและพลหอกที่ยังอยู่ในหวายอิน และโจมตีเข้าไปที่หน้าหลัง
ลั่วชิงเหยียนเพียงแค่จ้องมองหยุนชางด้วยรอยยิ้มเท่านั้น หยุนชางมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก เพียงแค่หัวเราะคิกคัก พร้อมเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาว่า "ในยามนี้ จ้าวฮูหยินก็มาที่นี่แล้ว. หากท่านมีเวลาว่าง ก็ไปหานางเสียหน่อยเถอะ. ไปพูดคุยกับนางให้มากขึ้น"
ลั่วชิงเหยียนพลันดึงหยุนชางให้เข้ามาในอ้อมกอด "ได้. ข้าเข้าใจแล้ว. เช่นนั้นพวกเราพักผ่อนสักหน่อยเถอะ"
วันที่สองในยามเช้า เมื่อหยุนชางตื่นขึ้นมาก็ไม่พบกับลั่วชิงเหยียนอยู่ข้างกายแล้ว หยุนชางจึงเรียกจื่อซูให้มาช่วยนางแต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมทั้งรับสำรับเช้า แล้วจึงเดินเล่นภายในจวน
เมื่อเดินเล่นไปรอบหนึ่งแล้ว นางกลับไม่ให้เห็นคนในจวนเจ้าเมืองเสียเลย. ภายในใจของหยุนชางรู้สึกอดไม่ได้ที่จะสงสัย ในเมืองางหนานเช่นนี้อย่างไรก็ต้องมีจวนเจ้าเมือง. เกรงว่า เจ้าเมืองคงรู้สึกผิดต่อลั่วชิงเหยียนกระมัง จึงนำครอบครัวของตนเองย้ายออกไปเช่นนี้! หรือว่า แต่เดิมจวนเจ้าเมืองนี้ ไม่ได้มีผู้ใดเคยอยู่มาก่อน ?
ภายในใจของหยุนชางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเล่นรอบจวนเสร็จ จึงปัดข้อสงสัยทิ้งลงมิได้ จวนเจ้าเมืองในยามนี้. มีกลิ่นอายของการใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อย ในเรือนหลักยังมีเสื้อผ้าอาภรณ์ของเจ้าของเรือนอยู่ รวมไปถึงแท่นฝนหมึกผู้กันกระดาษ ก็มีร่องรอยการถูกใช้งานมาก่อน อีกทั้ง
วันที่ในบทกลอนที่เขียนด้วยลายมือบนโต๊ะนั้น ก็บ่งบอกว่าเป็นของเดือนที่แล้ว
หยุนชางเดินวนไปรอบๆ แล้วจึงกลับมาที่เรือนรับรอง. ภายในเรือนรับรองนั้นมีข้ารับใช้เฝ้าอยู่หน้าประตูอยู่. แสงแดดกำลังดีเช่นนี้. หยุนชางจึงสั่งให้ข้ารับใช้ไปนำตั่งในห้องออกมานอกตำหนัก. แล้วจึงนั่งพิงตั่งเพื่ออ่านตำรา
เมื่อข้ารับใช้เดินเข้ามาชงชาให้นั้น. หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากถามว่า "ข้าเดินเล่นในจวนเจ้าเมืองรอบหนึ่งแล้ว. ยังไม่พบผู้คนในจวนเจ้าเมืองเสียเลย. พวกเขาไปไหนกัน ?"
ข้ารับใช้เหล่านั้นพลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง. พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "พระชายาคงจะไม่รู้ว่า จวนท่านเจ้าเมืองชังหนานนั้น เจ้าเมืองถูกรุ่ยอ๋องนำมาจับแยกร่าง ผู้คนในครอบครัวถูกเกณฑ์ให้เข้าไปรับใช้เหล่าทหารในกองทัพ. สตรีทั้งหลายถูกถอดยศพร้อมขายออกไปเป็นทาสเพคะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...