ลั่วชิงเหยียนส่ายหน้า สีหน้าของเขาดูเป็นปกติ "ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นแค่คนไร้หัวคิดที่ออกมาสร้างความปั่นป่วนก็เป็นได้"
คนไร้หัวคิดที่ออกมาสร้างความปั่นป่วน เมื่อหยุนชางได้ฟังเช่นนั้นแล้ว นางก็มองไปยังลั่วชิงเหยียนด้วยความรู้สึกขบขัน "สำหรับรุ่ยอ๋องผู้ที่สามารถทำได้ทุกอย่างแล้ว เห็นทีคงจะเป็นเช่นนั้นนะเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน เขาเอ่ยขึ้นมาว่า "สายลับยังได้รายงานมาอีกว่า เจ้าอ๋องเจ็ดได้รู้แล้วว่าจดหมายที่เฝิงหมิงถือมาหาได้ส่งถึงฮ่องเต้ไม่ เขาจึงส่งคนกลับมายังเมืองจิ่นอย่างลับๆ ชางเอ๋อร์คิดว่า เราจะไปขวางคนพวกนี้ไว้ได้หรือไม่?"
หยุนชางนิ่งไปสักครู่ นางรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ นางมองหน้าลั่วชิงเหยียนโดยอาศัยแสงไฟจากโคมไฟน้อยๆของบ่าวไพร่ ลั่วชิงเหยียนได้หยุดเดินในทันที แต่เขามิได้มองมาทางหยุนชาง หยุนชางมองดูท่าทีของเขาแล้ว เขาเองก็กำลังหนักใจอยู่เช่นเดียวกัน
หยุนชางครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า "คงจะถึงเวลาที่ต้องปะทะกันแล้วล่ะเพคะ"
แม้ว่าหยุนชางจะมิได้ให้คำตอบอันแน่ชัดว่าจะสามารถขวางทางคนของอ๋องเจ็ดไว้ได้หรือไม่ ่แต่ลั่วชิงเหยียนก็เข้าใจในสิ่งที่นางพูด
"จริงๆแล้วท่านอ๋องก็น่าจะเข้าพระทัยดีว่า หากฮ่องเต้ได้ทรงทราบเรื่องที่ฮวาฮองเฮายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ไม่ว่าฮวาฮองเฮาจะทรงซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ฮ่องเต้ก็ต้องทรงตามหานางจนพบ สิ่งที่เราสองคนต้องทำ หาใช่การนำฮวาฮองเฮาไปหลบซ่อน แต่เป็นการพาฮวาฮองเฮาเสด็จกลับไปยังเมืองจิ่น ก่อนที่จะพานางกลับไปยังวังหลวงนั้น พวกเราต้องเตรียมแผนการเอาไว้มากมายหลายอย่างเลยล่ะเพคะ" หยุนชางพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินเข้าไปในที่พัก
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆแล้วเอ่ยต่อไปว่า "ในเมื่อฮวาฮองเฮาจะต้องเสด็จกลับไป เราจะปล่อยซูหรูจีเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว อย่างน้อยๆ จะให้นางครอบครองตำแหน่งฮองเฮาต่อไปไม่ได้เป็นอันขาด"
หยุนชางพยักหน้า "เพคะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเถิดเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนยิ้มพร้อมกับมองดูหยุนชาง สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน แล้วเขาก็ได้โผเข้าไปกอดหยุนชางเอาไว้ เขายิ้มและพูดกับนางว่า "ในเมื่อชางเอ๋อร์เอ่ยปากเช่นนี้แล้ว ผู้เป็นสามีก็คงไม่ต้องกังวลอะไรอีก"
หยุนชางถึงกับหน้าแดง นางรีบตอบกลับไปทันทีว่า "ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ ดูท่านสิ ตรัสอะไรออกมาก็ไม่รู้"
ลั่วชิงเหยียนหาได้ฟังนางไม่ เขายังคงโอบกอดนางจนกระทั่งมาถึงในห้อง เขาจึงพานางไปนั่งลงบนตั่ง เขานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าหยุนชาง สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น "ช่วงนี้มีเรื่องของเซี่ยหวนอวี่และฮวาฮองเฮาเข้ามาให้ครุ่นคิด ทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆนานาขึ้นกับข้า บ่อยครั้งที่ข้าแอบคิดว่า หากไม่มีชางเอ๋อร์ ข้าในตอนนี้จะตกอยู่ในสภาพเช่นไร อาจจะเป็นดังเช่นในอดีต ที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้และข้องเกี่ยวอยู่กับเรื่องบัลลังก์ ถึงแม้จะมีจวนอ๋องเป็นของตัวเอง แต่ก็คงเป็นจวนที่ข้าไม่ได้กลับไปเป็นเวลาสิบๆปี ไม่มีสิ่งใดให้ต้องพะวงหา แต่เมื่อข้ามีเจ้า ข้าก็แอบคิดอยู่บ่อยๆว่า ตอนนี้ชางเอ๋อร์กำลังทำอะไรอยู่ ชางเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว......ข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ชีวิตนี้ของข้าทำได้ถูกต้องที่สุด ก็คือการที่ได้มาเจอและได้อยู่ดูแลเจ้า"
หยุนชางรู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่ก่อนนั้น ลั่วชิงเหยียนเป็นคนเย็นชา และไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องรักๆใคร่ๆ นึกไม่ถึงเลยว่า มาวันนี้เขาจะเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาให้นางได้ฟัง หยุนชางรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้
ลั่วชิงเหยียนบอกว่า สิ่งที่ชีวิตนี้ของเขาทำได้ถูกต้องที่สุด ก็คือการที่ได้มาเจอและได้อยู่ดูแลนาง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาได้มาอภิเษกกัน นางเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเขา
ลั่วชิงเหยียนค่อยๆขมวดคิ้ว เขาจ้องมองมาที่ใบหน้าของหยุนชาง พร้อมกับกุมมือของนางให้แน่นยิ่งกว่าเดิม
"หลังการอภิเษก ธาตุแท้ของโม่จิ้งหรานก็ค่อยๆเผยออกมาให้เห็น เขาชอบการเที่ยวเตร่ และเป็นลูกค้าประจำของหอนางโลมตามตรอกซอกซอยต่างๆในเมืองหลวง นอกจากนี้เขามักจะพาหญิงสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ากลับเข้ามาในจวนด้วย แม่สามีก็ให้ทายลูกชายคนเดียวของนางมาตลอด นางมักจะคอยหาเรื่องจับผิดหม่อมฉันต่างๆนานา หม่อมฉันเดิมทีเป็นคนเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก หม่อมฉันทำได้แค่เพียงยอมจำนนและอดทนมาโดยตลอดเพคะ"
"หลังจากนั้น สวามีของหัวจิ้ง ในชาติก่อนมีชื่อว่าจ้าวอิงเจี๋ย เขาได้จากไปในสนามรบ ทำให้หัวจิ้งกลายเป็นหญิงหม้าย แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านก็พากันร่ำลือถึงนางไปในทางเสียๆหายๆ ในตอนนั้นหม่อมฉันยังนับถือว่านางเป็นพี่สาวที่รักและเอ็นดูหม่อมฉันมาก จึงทนไม่ได้เมื่อนางต้องถูกใครต่อใครปรักปรำ จึงรับนางเข้ามาอาศัยในจวนกับหม่อมฉัน หม่อมฉันจะได้คอยปลอบใจนาง ไม่ให้นางต้องทนทุกข์อยู่นานจนเกินไป แต่นึกไม่ถึงเลยว่า หลังจากที่หัวจิ้งย้ายเข้ามาอยู่ในจวนได้ไม่นาน นางก็ได้ลอบมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับโม่จิ้งหรานเพคะ"
"แรกเริ่มเดิมที หม่อมฉันก็หาได้ระแคะระคายในเรื่องนี้ไม่ ตอนนั้นหม่อมฉันเพิ่งจะให้กำเนิดลูกชาย ลูกชายของหม่อมฉันสุขภาพไม่สู้ดีนัก ไหนจะมีแม่สามีที่คอยหาเรื่องสารพัดอีก หม่อมฉันจึงไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องอื่นมากนัก หลังจากนั้น เมื่อหม่อมฉันได้ทราบเรื่องนี้แล้ว ก็ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและอดทนต่อไป พวกเขากลับยิ่งได้ใจกระทำเรื่องน่าอายหนักมากขึ้นไปใหญ่ ลูกก็ป่วยหนัก หม่อมฉันเข้าไปหาโม่จิ้งหราน หวังว่าเขาจะไปเชิญหมอมารักษาลูก หม่อมฉันถึงกับไปคุกเข่าเพื่ออ้อนวอนเขา แต่เขากลับเลือกที่จะเริงรักกับหัวจิ้ง หัวจิ้งไม่พอใจที่หม่อมฉันเข้าไปขัดจังหวะ นางจึงกรีดหน้าของหม่อมฉัน ส่วนโม่จิ้งหราน ก็ได้จับลูกโยนลงมาสู่ชั้นล่าง ต่อหน้าต่อตาของหม่อมฉัน......"
หยุนชางตัวสั่นเทา แม้นางจะได้เกิดใหม่แล้ว แต่เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น นึกถึงเหิงเอ๋อร์ที่น่าเวทนา นางก็ไม่อาจทำใจให้สงบนิ่งได้
ลั่วชิงเหยียนโอบกอดหยุนชางเอาไว้ แล้วลูบไปที่หลังของนางอย่างทะนุถนอม
หยุนชางก็ได้พูดต่อไปว่า "หม่อมฉันก็ได้รีบวิ่งไปอุ้มลูกขึ้นมา และเข้าวังไปขอร้องฮองเฮาให้ไปตามหมอหลวงมาช่วยลูกชายของหม่อมฉัน ฮองเฮากลับบอกว่าลูกชายของหม่อมฉันตายแล้ว และกล่าวหาว่าหม่อมฉันเป็นผู้นำความมัวหมองเข้าไปแปดเปื้อนภายในตำหนักของนาง นางโกรธมาก และได้ให้หม่อมฉันดื่มเหล้าพิษเข้าไปจอกหนึ่ง......เมื่อเหล้าพิษเข้าไปสู่ร่างกายของหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันก็ได้ตื่นมาอีกครั้ง ก็ได้พบว่าตนเองย้อนวัยไปเป็นเด็ก 8 ขวบ หม่อมฉันขอบคุณฟ้าดินที่ประทานโอกาสแก้แค้นมาให้กับหม่อมฉัน หม่อมฉันเริ่มเตรียมการแต่ละอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในใจยังคงรุ่มร้อนไปด้วยไฟแค้น ทุกอย่างเป็นไปเพื่อการแก้แค้น แต่เป็นเพราะท่านอ๋อง ทำให้ชีวิตของหม่อมฉันในชาตินี้มีความหมาย นอกเหนือจากการจดจ่อไปกับการแก้แค้นเพคะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...