แม้ว่าในชาติที่ผ่านมาจะได้รับความทุกข์ทรมานมาอย่างแสนสาหัส แต่นางก็มิอาจระบายความอัดอั้นนี้ให้กับผู้อื่นได้เลย ครั้งแรกที่นางได้เปิดเผยความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจมานาน เมื่อนางพูดจบแล้ว ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ลั่วชิงเหยียนโอบกอดหยุนชางให้แน่นกว่าที่เคย เขาตบหลังของหยุนชางอย่างอ่อนโยนแล้วจึงปลอบประโลมว่า "ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคน"
คำพูดประโยคนี้ ทำเอาหยุนชางร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีก ใช่แล้ว ในชาตินี้ นางมีเขาอยู่ทั้งคน
"ชางเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวนะ ชีวิตนี้ ข้าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้าเด็ดขาด" ลั่วชิงเหยียนรู้สึกอัดแน่นภายในจิตใจ จนเหมือนจะหายใจลำบาก เขาคิดอยู่ภายในใจ โม่จิ้งหราน ลั่วชิงเหยียนพอจะรู้จักคนคนนี้อยู่ในระดับหนึ่ง เขารู้ดีว่า ที่ผ่านมา หัวจิ้งพยายามวางแผนให้โม่จิ้งหรานได้มาลงเอยกับชางเอ๋อร์ และจำได้ว่าครั้งก่อนที่ได้พบกับโม่จิ้งหราน เขากำลังถูกภรรยาในชาติปัจจุบันดุด่าอยู่กลางถนน แต่ลั่วชิงเหยียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ทั้งตนและชางเอ๋อร์จะมีส่วนพัวพันกับเรื่องพวกนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะไม่ให้เขาขุ่นเคืองใจไปได้อย่างไร
หญิงที่เขารักหมดใจ จะปล่อยให้นางต้องมาชอกช้ำระกำใจ แม้จะเป็นในชาติที่ผ่านมาแล้วก็ตาม ถึงอย่างไร เขาก็ยอมไม่ได้
โม่จิ้งหราน ลั่วชิงเหยียนแอบจดจำชื่อคนคนนี้เอาไว้ พลางคิดในใจว่า สักวันหนึ่ง เขาจะต้องให้โม่จิ้งหรานมาชดเชยให้กับความเจ็บช้ำทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำเอาไว้กับหยุนชางให้จงได้
หลังจากนั้น หยุนชางก็สงบสติอารมณ์ขึ้นมาได้ นางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของลั่วชิงเหยียน สักพักหนึ่ง นางก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาว่า "ท่านอ๋องจะทรงกลัวหม่อมฉันไหมเพคะ เผื่อว่าบางที หม่อมฉันจะเป็นเพียงวิญญาณที่มาเกิดใหม่เท่านั้น"
ลั่วชิงเหยียนค่อยๆประคองให้หยุนชางนั่งตัวตรง เขาสบตากับหยุนชางและพูดกับนางเบาๆว่า "จะกลัวได้อย่างไรล่ะ ข้าต้องขอขอบคุณสวรรค์เสียมากกว่า ที่ทำให้ข้าได้มีโอกาสมาพบเจอเจ้า หากไม่มีเรื่องราวในอดีตเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าชาตินี้ ข้าจะไม่มีวันได้พบเจอกับเจ้าเลยน่ะสิ"
หยุนชางรู้สึกตื้นตัน นางเอ่ยออกมาเบาๆว่า "ขอบพระทัย"
ลั่วชิงเหยียนตบเบาๆไปที่หลังของหยุนชาง น้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขาได้บอกกับนางว่า "ต่อจากนี้ไป เจ้ามีข้าแล้วนะ ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ คอยเฝ้าดูแลเจ้า ปกป้องเจ้า"
หยุนชางค่อยๆยิ้มออกมา นางเอ่ยคำสั้นๆว่า "เพคะ" แล้วโผเข้ามากอดลั่วชิงเหยียนอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นมาจูบเขา ลั่วชิงเหยียนหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์ อย่าท้าทายความอดทนของข้าสิ"
หยุนชางเงยหน้ามองดูก้อนกลมๆบนลำคอของลั่วชิงเหยียนที่ขยับไปมาในขณะที่เขาพูด ทำให้นางรู้สึกขัน และแอบขบเข้าไปเบาๆ
ลั่วชิงเหยียนขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที เขาถึงกับลุกพรวด แล้วอุ้มหยุนชางขึ้นมาก่อนจะพาร่างของนางไปวางไว้บนเตียง "ข้าพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมาท้าทายความอดทนของข้าหรอก สำหรับเจ้าแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ความอดทนใดๆอีกต่อไปแล้ว" ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ปลดผ้าม่านคลุมเตียงลงมาในทันที
เมื่อหยุนชางได้ยินดังนั้นแล้ว ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ แต่เสียงหัวเราะนั้นพลันค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงอื่น
ลั่วชิงเหยียนและหยุนชางได้มาพักอยู่ที่หมู่บ้านอันหนิงได้เพียง 3 วันก็ถึงคราที่จะต้องออกเดินทาง จุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ก็คือเมืองหวายอินนั่นเอง เพื่อการเดินทางโดยที่ไม่ทำให้ศัตรูสามารถจับความเคลื่อนไหวได้ ลั่วชิงเหยียนก็ได้คิดวิธีตบตาศัตรูขึ้นมา
เพื่อทำให้ชางเจียชิงซูหลงคิดว่ากองทัพได้เดินทางไปถึงเมืองกานอิ๋งอย่างเงียบๆแล้ว ลั่วชิงเหยียนได้สั่งการให้สายลับไปกว้านซื้อข้าวสาร ข้าวสาลี และมันเทศมาจากร้านค้าข้าวภายในเมืองกานอิ๋ง และในขณะเดียวกัน ก็ได้สั่งให้มีการสะสมเสบียงแถบย่านชานเมืองกานอิ๋งอีกด้วย
ไม่ถึง 10 วัน ลั่วชิงเหยียนก็ได้รับแจ้งข่าวมาว่า ชางเจียชิงซูได้คุมกองทัพไปที่เมืองจาน่าด้วยตัวเองแล้ว
หยุนชางกลับรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา "หากชางเจียชิงซูได้บุกทลายเมืองกานอิ๋งขึ้นมา พวกเราจะทำอย่างไรกันล่ะเพคะ?"
ทว่าลั่วชิงเหยียนหาได้รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด "เมืองกานอิ๋งมีภูเขาสูงเป็นด่านปราการ กองทัพแคว้นเย้หลางมักจะถนัดเฉพาะการสู้รบบนพื้นราบ พวกเขาหาได้คุ้นชินกับสภาพภูมิศาสตร์เช่นนี้ไม่ เพื่อเป็นการรักษากำลังพล ชางเจียชิงซูไม่มีทางยอมเสี่ยงแน่นอน"
เมื่อชางเจียชิงซูมาถึงที่เมืองจาน่าแล้ว พวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงเมืองหวายอิน
เป็นไปตามที่หยุนชางคาดคิด เมืองหวายอินมีพื้นที่ไม่มาก และยังมีภูมิประเทศที่ค่อนข้างราบเรียบ ไม่เหมาะกับการซ่อนตัวกองกำลัง แต่ก็ด้วยเหตุนี้นี่เอง ชางเจียชิงซูคงจะคิดไม่ถึงว่า ลั่วชิงเหยียนจะแอบซ่อนกองกำลังไว้ภายในเมืองหวายอิน เพียงแต่จำนวนกองกำลังในเมืองเมืองหวายอินมีอยู่แค่เพียง 7-8 หมื่นนาย มีหลิ่วหยินเฟิงเป็นผู้ควบคุมดูแล ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบบนภูเขาแห่งหนึ่งของเมืองหวายอิน
ลั่วชิงเหยียนหันขวับมามองหน้าหยุนชาง สายตาของเขาแฝงไปด้วยความกังวลและความสงสัย
หยุนชางนำมือของลั่วชิงเหยียนมาวางไว้บนท้องนูนๆของตนเอง "เมื่อครู่นี้ลูกถีบหม่อมฉันไป 1 ครั้งเพคะ ท่านอ๋องทรงลูบดูสิเพคะ เขาดิ้นเก่งแล้วนะเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนยังคงเงียบ เขาเงียบอยู่นาน สุดท้ายก็ขมวดคิ้วพลางพูดขึ้นมาว่า "ไม่เห็นจะดิ้นเลย?"
หยุนชางหัวเราะ "อ๋อ งั้นหรือเพคะ? เมื่อครู่นี้เขาถีบหม่อมฉันเต็มแรงเลยนะเพคะ......แต่เขาคงจะกลัวท่านดุเขา ก็เลยไม่กล้าถีบท่าน"
หยุนชางสังเกตเห็นแววตาที่แอบผิดหวังของลั่วชิงเหยียน นางจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า "ท่านอ๋องดูสิเพคะ ลูกของเราถีบคนได้แล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังทรงเป็นกังวลอยู่อีกล่ะเพคะ หม่อมฉันจะทิ้งท่าน และไปอยู่กับคนอื่นเช่นนั้นหรืออย่างไรเพคะ? จะให้หม่อมฉันจากท่านไป ก็ต้องรอให้ท่านทำให้หม่อมฉันเจ็บช้ำน้ำใจเสียก่อน หรือว่า ท่านอ๋องทรงไม่ต้องการหม่อมฉันแล้ว ใช่ไหมเพคะท่านอ๋อง?"
"ก็ต้องไม่ใช่น่ะสิ" ลั่วชิงเหยียนขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว "ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจเป็นอันขาด และจะไม่ให้เจ้าจากข้าไปไหน ชีวิตนี้เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด"
"ก็ใช่ไงเพคะ ในเมื่อท่านอ๋องไม่มีทางปล่อยให้เป็นเช่นนั้น แล้วจะยังมีอะไรให้ต้องทรงกังวลอีกล่ะเพคะ" หยุนชางมองเข้าไปในตาของลั่วชิงเหยียน
ลั่วชิงเหยียนจึงเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าเขาโดนหยุนชางแกล้ง เขากลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ แล้วจึงพยักหน้าพลางถอนหายใจออกมา "เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง"
หยุนชางแลบลิ้นเย้าแหย่ แล้วโผเข้าหาอ้อมกอดของลั่วชิงเหยียน นางเริ่มเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา "ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเมืองหลิงซีตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้างนะเพคะ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...