ลั่วชิงเหยียนสั่งให้บ่าวยกเก้าอี้ด้านในห้องโถงมาสองตัว หยุนชางก็ดึงอาซิ่วไปนั่งที่เก้าอี้ นางลูบมืออาซิ่วเบาๆ ราวกับว่าอยากให้นางผ่อนคลายลง
"คำถามแรก อาซิ่ว เจ้าจำได้หรือไม่ว่าตอนที่เจ้าถูกจับตัวไปเหตุการณ์มันเป็นอย่างไร?" หยุนชางมองเข้าไปในดวงตาของอาซิ่วและถามอย่างนุ่มนวล
อาซิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางตัวสั่นเล็กน้อยและกัดริมฝีปากจนขาวซีด ผ่านไปนานจึงกล่าวว่า "เช้าวันนั้นข้าเอาเสื้อไปซักที่ริมแม่น้ำ ตอนนั้นฟ้ายังไม่สว่าง ขณะที่ข้าถือเสื้อผ้าเดินผ่านตรอกซอยและเมื่อกำลังจะถึงคูเมือง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลังจากนั้นก็รู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย จากนั้นข้าก็จำกระไรไม่ได้เลย"
หยุนชางพยักหน้า แล้วได้ยินอาซิ่วกล่าวเบาๆ ว่า "เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกว่าตนอยู่บนรถม้า ภายในรถม้าถูกปิดมืดสนิท มือและเท้าของข้าถูกมัดเอาไว้ ถูกปิดตา และปิดปาก ข้าเอาเท้าเตะไปมาในรถ แล้วพบว่ายังมีคนอีกมากมายอยู่ในนั้น คาดว่าคงจะเป็นคนที่ถูกจับตัวมาเหมือนกัน จากนั้นรถม้าก็หยุดลง เราจึงถูกลากตัวลงจากรถ และถูกคนแบกไปราวกับถุงกระสอบไปอยู่นาน จากนั้นจึงถูกโยนเข้าภายในห้องลับนี้"
หยุนชางพยักหน้าเบา ๆ และเห็นว่าอาซิ่วดูเหมือนจะกล่าวจบแล้ว จึงได้เอ่ยปากถามอีกว่า "ในห้องลับนั้น เจ้าเคยเห็นคนที่กักตัวพวกเจ้าหรือให้อาหารพวกเจ้าหรือไม่? ได้ยินเสียงของพวกเขาหรือไม่?"
อาซิ่วพยักหน้า " ข้าเคยเห็น คนที่นำอาหารมาส่งล้วนเป็นพระภิกษุทั้งหมด" ร่างกายของอาซิ่วสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอีกว่า "เขาว่ากันว่าสาวกชาวพุทธเป็นคนที่มีจิตใจดีที่สุด แต่พวกเขาเป็นคนเลวทั้งนั้น ในกลุ่มหญิงสาวที่ถูกจับตัวมาพร้อมเรา มีสามคนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นมากกว่าผู้อื่น จึงถูกพระภิกษุลากไป ก่อนที่พวกเขาจะเดินจากไป เราได้ยินเขาพูดอย่างชัดเจนว่า แม้จะเป็นผู้หญิงที่ไร้ประโยชน์ แต่รสชาติของสาวงามนั้นย่อมสามารถทำให้เราหลงละลายไปกับมันได้ หลังจากนั้นนางทั้งสามก็มิได้กลับมาที่นี่อีกเลย เราต่างก็ทราบแล้วว่าพวกนางต้องเจอกับอะไรบ้าง จึงรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก กลัวว่าชะตากรรมนี้จะตกมาที่พวกเรา แต่โชคดีที่พวกท่านมาถึงก่อน"
ตามที่หยุนชางคาดไว้ สามคนนั้นอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว
"เจ้าลองคิดดูดีๆ คนพวกนั้นพูดอะไรแปลกๆ ไปบ้างหรือไม่?" หยุนชางยังคงเผยรอยยิ้มออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกอ่อนโยนราวกับสายลมที่พัดผ่านในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
อาซิ่วเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รีบก้มศีรษะลงและกล่าวว่า "ข้าจะคิดดูดีๆ ข้าจะคิดดู"
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อาซิ่วรีบพูดว่า "ข้าจำได้แล้ว ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งที่ได้ยินพวกเขาคุยกัน พระภิกษุคนหนึ่งถามอีกคนหนึ่งว่า คนอีกกลุ่มหนึ่งส่งไปถึงที่หมายหรือยัง? อีกคนก็ตอบว่า ถึงตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็คงไปเริ่มงานที่กำแพงเมืองแล้วกระมั้ง ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่เคยได้ยินแล้ว"
หยุนชางพยักหน้าเบา ๆ ยิ้มและกล่าวว่า "ดีแล้ว ข้าจะถามเพียงเท่านี้ เจ้าอาศัยอยู่ที่ใดหรือ? ข้าจะสั่งให้คนไปส่งเจ้า"
สีหน้าของอาซิ่วเต็มไปด้วยความตื้นตันใจและความตื่นเต้น นางกล่าวขอบคุณซ้ำๆ แล้วจึงกล่าวว่า "ข้าอาศัยอยู่ในตรอกซีซาน"
ตรอกซีซาน ได้ยินมาว่าเป็นตรอกที่ยากจนที่สุดในเมืองจิ่น
หยุนชางพยักหน้าเบา ๆ และหันไปมองลั่วชิงเหยียน ลั่วชิงเหยียนยิ้มอย่างขมขื่นแล้วจึงสั่งการสายลับ ให้สายลับพาตัวหญิงสาวที่ชื่ออาซิ่วไป
หยุนชางรับแก้วน้ำชาที่ฉินยีนำมาให้ไป แล้วจิบชาจากนั้นจึงยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า "ที่กล่าวมาไม่มีความจริงเลยสักนิด"
ลั่วชิงเหยียนยิ้มและโอบไหล่ของหยุนชางเอาไว้ กระซิบเบา ๆ ว่า " ชางเอ๋อร์กล่าวผิดไปแล้ว ทุกคำพูดของนางเป็นความจริง เพียงแต่ว่ามีคนตั้งใจทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้นางมาบอกกับเราก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าเราจะถามใคร ก็ได้คำตอบเพียงเท่านี้"
ลั่วชิงเหยียนเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงอดไม่ได้แล้วยิ้มออกมา เขาเดินไปข้างเบาะแล้วโน้มตัวลงอุ้มหยุนชางขึ้นมา จากนั้นก็วางนางไว้บนเตียงแล้วลูบหัวที่อ่อนนุ่มของหยุนชาง และกล่าวด้วยความเอ็นดูว่า " เหตุใดจึงง่วงเช่นนี้เล่า?" หยุดไปครู่หนึ่งก็เห็นหยุนชางขมวดคิ้ว เขาจึงรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า " ช่างมันเถิด ข้าจะไม่กังวลเรื่องนี้แล้ว เราเข้านอนก่อน" พูดจบเขาก็ถอดเสื้อผ้าออก และนอนลงข้างหยุนชาง
วันที่สอง เมื่อหยุนชางตื่นขึ้น กลับเห็นลั่วชิงเหยียนยังอยู่ในห้องบรรทม ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้ยากมาก หยุนชางตะลึง มีแสงส่องเข้ามาทางหน้าต่างเล็กน้อย ดูเหมือนว่าฟ้าจะสว่างอย่างมากแล้ว วันนี้ลั่วชิงเหยียนมิต้องเขาวังไปจัดการราชกิจหรือ?
เขารู้สึกได้ถึงการจ้องมองจากแววตา ลั่วชิงเหยัยนจึงหันมายิ้มให้หยุนชาง เขาเดินไปที่เตียงและมองหยุนชาง " เจ้าหมูน้อยลุกได้แล้ว"
หยุนชางจ้องไปที่ลั่วชิงเหยียนจากนั้นก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า "วันนี้เจ้าไม่ต้องเข้าวังหรือ?"
ลั่วชิงเหยียนนั่งที่ข้างเตียง รอยยิ้มของนางอ่อนโยนเล็กน้อย " นานแล้วที่ข้ามิได้อยู่กับเจ้า วันนี้ข้าจะทำงานอยู่ในจวนแล้วกัน"
หยุนชางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากมองลั่วชิงเหยียนไปหลายทีจึงลุกขึ้นนั่ง และสั่งให้ฉินยีเข้ามาแต่งตัวให้ ทั้งสองกินอาหารเช้าด้วยกัน ลั่วชิงเหยียนก็นั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือแล้วดูเอกสารราชกิจ
"เรื่องวัดหลิงอิ่นเมื่อวานนี้มีเบาะแสใหม่แล้วหรือยัง?" หยุนชางอ่านหนังสือไปครู่หนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถาม
ลั่วชิงเหยียนส่ายหัวเบา ๆ " เป็นอย่างที่เจ้าคิด คำตอบของทุกคนเกือบจะเหมือนกันทั้งหมด จึงไม่มีประโยชน์กระไรมากนัก"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...