หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้ นิยาย บท 111

“ผมมาพบลูกชายของผมไม่ได้หรือ?”

เขาพูดแล้วก็นั่งยองๆ มองดูเป้ยเปย

แต่เวลานี้เป้ยเปยหลับไปแล้ว เขาจึงยืนขึ้นมามองฉันอีกครั้ง: “พรุ่งนี้เป้ยเปยจะต้องไปฉีดวัคซีนใช่มั้ยครับ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาฉันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา: “เกี่ยวอะไรกับคุณคะ?”

เขามองฉันแล้วหัวเราะเยาะ สีหน้าอึมครึมและเย็นชามาก: “ลูกของผม คุณว่าเกี่ยวกับผมมั้ยล่ะ?”

ฉันคิดว่าตัวเองไม่สามารถจะพูดคุยกับลู่จือสิงได้ พอคุยกับเขาทีไรอารมณ์ฉันจะเปลี่ยนแปลงไปง่ายมากจนไม่อาจควบคุมได้

ฉันเม้มริมฝีปากจากนั้นก็ผลักรถเข็นของเป้ยเปยให้ตรงไปตามทางเดิน

แต่ลู่จือสิงในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว เขายืนมองฉันจากที่เดิม จากนั้นก็เดินตามฉัน

ฉันสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตู เขาก็เดินตามหลังฉันเข้าไป

ฉันดึงประตูเอาไว้: “คุณออกไปได้แล้วค่ะ!”

“ผลไม้ที่คุณถืออยู่หนักหรือเปล่า ผมช่วยถือนะครับ?”

เขาใช้วิธีสงบสยบความเคลื่อนไหว ตอบอย่างไม่ตรงคำถามกลับไป

ฉันก้มลงมองส้มซันคิสต์บนมือฉัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วโยนมันลงไปบนตัวเขา: “ถ้าคุณชอบขนาดนี้คุณก็ถือเองแล้วกันค่ะ!”

เขายื่นมือออกไปรับ ฉันก็ถือโอกาสนี้ปิดประตูทันที แถมยังหันกลับไปจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชาอีกด้วย

เขายืนอยู่ตรงนั้น กำลังถือถุงผลไม้ที่ฉันโยนออกไปอยู่ จากนั้นไม่นานเขาก็ยกมือกดไปที่ตำแหน่งสแกนลายนิ้วมือ

“ตี๊ด——”

พอได้เสียงเปิดประตู ฉันก็งงไปเลย

ตอนนี้ลู่จือสิงเดินเข้ามาแล้ว เขามายืนอยู่หน้าลิฟต์จากนั้นก็กดปุ่ม

“คุณเข้ามาได้อย่างไร คุณมีสิทธิได้อย่างไร?”

“ติ๊ง——”

ในตอนนี้ประตูลิฟต์เปิดออกแล้ว เขาเดินเข้าไปโดยไม่สนใจในคำถามของฉัน: “ไม่เข้ามาหรือครับ?”

ฉันมองเขาแล้วกัดฟัน ไม่ขยับตัวด้วยความอึ้ง: “ไม่เข้า!”

“อ้อ”

เขาตอบกลับ แล้วคนก็เดินออกมา

ทีแรกฉันคิดจะรอให้เขาเข้าไป จากนั้นฉันก็จะขึ้นลิฟต์ตัวต่อไป

แต่ไม่คิดว่าเขาจะถอยออกมา ฉันโกรธจนตัวสั่นแต่ฉันยังจะไปมีวิธีไหนอีกล่ะ?

ฉันไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่ดันรถเข็นของเป้ยเปยเข้าลิฟต์ไป

แล้วลู่จือสิงก็เดินตามฉันเข้าไป ครั้งนี้เป้ยเปยตื่นแล้ว ลู่จือสิงมองฉัน: “เป้ยเปยตื่นแล้วครับ”

ฉันไม่ตอบเขา ไม่พูดไม่จา

เขาย่อตัวลงไปหยอกล้อเป้ยเปย ไม่รู้ว่าได้เกิดสายสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างพ่อกับลูกหรือไม่ เห็นๆ อยู่ว่าเป้ยเปยกลัวคนแปลกหน้า แต่ลู่จือสิงหยอกล้อกับเขาแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น เขากลับไม่เบะปากเลยซักครั้ง ยิ่งกว่านั้นกลับยิ้มให้ลู่จือสิงอีกด้วย

ลู่จือสิงเห็นเป้ยเปยยิ้มก็เหมือนตัวเองได้ค้นพบสิ่งที่สุดยอดมากๆ เขาเงยหน้ามองฉัน “ซูยุ่น เป้ยเปยเขายิ้มให้ผม”

ฉันก้มลงไปมองเขา รู้สึกเคืองๆ ตาเล็กน้อย หากฉันกับเขาไม่ได้หย่ากัน เขาจะเพิ่งมารู้ถึงตัวตนของเป้ยเปยเอาป่านนี้หรือ แค่เพียงเป้ยเปยยิ้มให้ เขาจะดูเหมือนกำลังค้นพบโลกใหม่อย่างนั้นหรือ

ท้ายที่สุดฉันก็ใจอ่อน พูดเสียงออกทางจมูกมาคำหนึ่งว่า: “อืม”

เขาลุกขึ้นทันที มองฉันด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม แล้วก็ไม่พูดไม่จา

ฉันถูกเขามองจนอึดอัด อดไม่ได้ที่จะจ้องหน้าเขาไปที: “คุณมองฉันทำไมคะ?”

“ถ้าคุณไม่มองผมคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผมมองคุณอยู่ครับ?”

“เห็นๆ อยู่ว่าคุณมองฉันก่อน!”

“งั้นคุณก็ยอมรับแล้วว่าคุณมองผม?”

นี่ดูท่าจะเป็นหัวข้อที่ไม่จบไม่สิ้น ฉันตีสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ

ฉันยังไม่ทันได้เปิดปาก เขาก็สังเกตเห็นแล้ว: “เขาทำไมหรือครับ?”

คิดได้แล้วฉันก็เล่าเรื่องให้เขาฟัง: “……ฉันไม่รู้ว่าเขาไปได้สิทธิตรงใต้ตึกมาได้อย่างไร แถมยังเดินตามฉันมาตลอด แต่พอมาถึงประตู เขากลับไม่เข้ามานะค่ะ”

ฉีซิ่วหรานขมวดคิ้วอย่างหาได้ยากขึ้นมา: “เขาไม่ทำให้คุณลำบากใจก็ดีแล้วครับ”

ฉันพยักหน้า ไม่อยากพูดถึงลู่จือสิงอีก ฉันไม่ควรให้เขามารบกวนความเป็นอยู่ในตอนนี้ของฉัน: “ตอนบ่ายฉันไปซื้อไก่ดำมาได้ตัวหนึ่ง ตอนนี้กำลังตุ๋นน้ำแกงอยู่ค่ะ วันนี้คุณกลับมาเร็วแบบนี้ งั้นเราทานข้าวกันเร็วหน่อยนะคะ”

ฉีซิ่วหรานพยักหน้า “เป้ยเปยยังนอนอยู่หรือครับ?”

“นอนไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วนะค่ะ ไม่รู้เขาตื่นหรือยัง ช่วงนี้ดูเหมือนจะนอนไม่ค่อยมากแล้วค่ะ

“ผมไปดูซักหน่อยนะครับ”

ฉันจะทำอาหารอยู่พอดี จึงตอบไปคำหนึ่ง แล้วเดินเข้าห้องครัวไป

ไม่ถึงหนึ่งทุ่มฉันก็ทำอาหารเสร็จแล้ว จากนั้นก็เข้าห้องไปเรียกฉีซิ่วหราน ฉันเห็นเป้ยเปยตื่นแล้ว เขากำลังเล่นกับเป้ยเปยอยู่

ฉันพบว่า แม้ในยามปกติฉีซิ่วหรานจะดูเหมือนเป็นคนเฉยชา แต่พอได้มาอยู่กับเด็กน้อย จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีความอดทนไม่น้อยเลยทีเดียว

“ฉีซิ่วหราน ทานข้าวได้แล้วค่ะ”

เขาหันกลับมามองฉัน: “ผมไปล้างมือก่อน”

ฉันเดินไปอุ้มเป้ยเปยขึ้นมา แล้ววางไว้บนเก้าอี้ทานอาหารสำหรับเด็กทารก

เป้ยเปยมีอายุหนึ่งขวบแล้ว เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะก้าวเดิน แล้วยังพูดอืมอืมอาอาอยู่ในปาก ดูเหมือนเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดได้แล้ว

ฉันให้เป้ยเปยหย่านมไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้เป้ยเปยเริ่มทานโจ๊กได้บ้างแล้ว โดยเฉพาะโจ๊กที่ต้มจากน้ำต้มไก่

เป้ยเปยเลือกกินอยู่ พอป้อนให้เขากินไปคำก็ไม่เอาแล้ว แต่ฉันไม่อยากเลี้ยงเขาให้เป็นเด็กที่เลือกกินอาหาร

ฉีซิ่วหรานออกมาแล้ว ฉันคิดจะพูดเรื่องทานข้าว เวลานี้กลับมีเสียงออดประตูดังขึ้นมา

ฉีซิ่วหรานมองหน้าฉันแล้วเสนอตัวขึ้นมา: “ผมไปเปิดประตูเอง”

ฉันพยักหน้าเล็กน้อย แล้วตักโจ๊กขึ้นมาคำป้อนเข้าปากเป้ยเปย จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ฉันหันกลับไปดู ไม่คิดว่าจะเจอลู่จือสิงกำลังเดินเข้ามา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้