“พี่ซูยุ่นกับประธานลู่รู้จักกันมาหกปีแล้วใช่มั้ยคะ?”
เธอยังคงพูดต่อ แต่ฉันไม่อยากสนใจเธอแล้ว จึงส่งเสียงกลับไปว่า: “อืม”
ฉันเดินเข้าไปในออฟฟิค แล้วเจอกับเซี่ยงฉิงโดยบังเอิญ จึงเดินเข้าไปหา
เซี่ยงฉิงเห็นหลี่ฮุ้ยหรูเดินตามหลังฉันมา: “พวกเธอมาทำงานด้วยกันได้อย่างไรเนี่ย?”
ฉันวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้: “ไม่ได้มาด้วยกันหรอก บังเอิญเจอกันที่ใต้ตึก”
“เธอระวังเขาไว้หน่อยนะ ฉันมักรู้สึกเหมือนเขาเก็บอะไรไม่ดีๆ เอาไว้”
แม้เซี่ยงฉิงพูดถึงลี่ฮุ้ยหรูเช่นนี้จะไปในทางคาดเดาส่วนตัว แลดูไม่ค่อยดีนัก แต่ตัวฉันก็ไม่ค่อยชอบหลี่ฮุ้ยหรูสักเท่าไหร่ แถมยังมาตื้อถามฉันตรงๆ เกี่ยวกับลู่จือสิงอีก บอกเลยว่าฉันไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“อืม ฉันรู้แล้ว”
ลี่ฮุ้ยหรูกลับไปที่นั่งของตัวเองแล้ว ส่วนฉันก็เปิดคอมพิวเตอร์ เมื่อเปิดคอมฯ ขึ้นมาก็พบข้อมูลจากลี่ฮุ้ยหรู เป็นไฟล์แผนงานที่ฉันสั่งให้เธอแก้ไขไปเมื่อวาน
ฉันกดรับไฟล์ แล้วตอบเธอกลับไปว่าอีกสักครู่จะดูให้
เจิ้งเยว่มาหาฉันพอดี เขาบอกว่าอีกสองอาทิตย์ก็จะหยุดประจำปีแล้ว หลังปีใหม่เขาคาดหวังให้ฉันไปเมือง J ซักครั้ง เนื่องจากกิจกรรมจะเริ่มช่วงหลังปีใหม่
ฉันพลิกดูปฏิทิน แต่ก็ยังไม่กำหนดวันที่แน่นอน ตั้งใจจะกลับไปปรึกษาลู่จือสิงก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
หลังจากอยู่คุยกับเจิ้งเยว่เกี่ยวกับโครงการไปอีกสักพักก็เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว ฉันจึงลุกขึ้นไปเติมน้ำแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าลี่ฮุ้ยหรูมีส่งไฟล์แผนงานมาให้ฉัน
คงเป็นเพราะเมื่อวานฉันด่าเธอแรงๆ แผนการครั้งนี้ถึงออกมาดีขึ้นมาก
แม้ก่อนหน้านี้หลี่ฮุ้ยหรูจะสร้างความกลัดกลุ้มใจให้ฉันอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าในที่สุดแผนงานก็ได้รับการแก้ไขเป็นอย่างดี ฉันจึงไม่คิดที่จะตระหนี่ในคำชมของตัวเอง
ห้านาทีก่อนเวลาพักกลางวัน จู่ๆ หลี่ฮุ้ยหรูก็วิ่งมาเรียกฉัน: “พี่ซูยุ่นคะ”
ฉันกำลังเก็บเอกสารอยู่ พอได้ยินเธอเรียกฉัน ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเธอ: “มีอะไรหรือ?”
“เที่ยงนี้พี่ซูยุ่นจะไปทานข้าวที่ไหนหรือคะ หนูขอไปทานกับพี่ด้วยคนได้มั้ยคะ?”
พอได้ฟังคำพูดของเธอ สีหน้าฉันก็เย็นชาขึ้นมาทันควัน
หลี่ฮุ้ยหรูคนนี้จงใจหรือเปล่านะ?
เมื่อเช้าลู่จือสิงชวนฉันไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันสองต่อสองต่อหน้าเธอ มาตอนนี้เธอกลับมาถามฉันว่าจะไปกินข้าวที่ไหน
ฉันยกเอกสารที่เพิ่งจัดเสร็จมาวางไว้ด้านข้าง แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมา แสร้งยิ้มมุมปากกระตุกเล็กน้อยแล้วมองเธอ: “ฉันนัดทานข้าวกับสามีเอาไว้ เธอไปทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นเถอะ”
“อ๊า เสียดายจังเลยค่ะ พอดีหนูซื้อคูปองอาหารบุฟเฟต์เอาไว้สองใบ เรื่องเมื่อวาน……”
เธอยกเรื่องเมื่อวานขึ้นมาอีกแล้ว พูดซะจนถ้าฉันยังจำเรื่องเมื่อวานได้อยู่อีก แสดงว่าฉันทำไม่ถูกแล้วอย่างนั้นล่ะ
ในความเป็นจริงฉันไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเธอยังคอยพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ฉันรู้สึกแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก
ฉันมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก: “ไม่เป็นไร เธอเองก็ไม่ต้องเก็บไปคิดล่ะ ตอนนี้สามีฉันรออยู่ด้านล่างแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
“อ๊ะ แต่ยังไม่ถึงเวลาเลยนี่คะ?”
ฉันก้มดูโทรศัพท์: “อีกหนึ่งถึงสองนาทีเอง อย่าไปใส่ใจเลย”
เธอเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่ฉันไม่ได้ยินแล้ว และไม่อยากสนใจด้วย ถึงเธอจะเล่นอะไรมา ฉันก็แค่เล่นตามเธอไปด้วยแค่นั้น
ฉันลงมาก็มองเห็นลู่จือสิงแล้ว ไม่รู้จู่ๆ ทำไมเขาถึงชวนฉันไปทานข้าวกลางวันด้วย
เดิมทีเข้าใจว่าเมื่อเช้าเขาแค่อยากจะเล่นงิ้วต่อหน้าหลี่ฮุ้ยหรูเสียอีก แต่พอสิบเอ็ดโมงกว่าเขากลับส่งข้อความมาบอกว่าเขาเตรียมตัวจะมารอฉันที่ด้านล่างแล้ว
เขาช่วยเปิดประตูรถให้ฉัน เมื่อฉันคาดเซฟตี้เบลเสร็จเขาก็ขึ้นรถมาแล้ว จากนั้นฉันก็รีบถามเขาไปว่า: “วันนี้มีอะไรหรือคะจู่ๆ ถึงชวนฉันทานข้าวเที่ยงด้วย?”
ปกติเขาจะต้องหยอกฉันเล่น แต่ครั้งนี้เขากลับพูดกับฉันอย่างจริงจังว่า: “จะพาคุณไปพบคนๆ หนึ่งครับ”
ขณะทานอาหารไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกันมาก แต่ไรมาเวลาอยู่ข้างนอกลู่จือสิงจะพูดค่อนข้างน้อย ส่วนลู่ป่ายถงก็ไม่ค่อยพูดอะไรมาก
หนึ่งโต๊ะอาหารและพวกเราสามคนจึงเป็นไปอย่างสงบเงียบ
ก่อนที่จะทานอาหารเสร็จ ลู่ป่ายถงก็ดื่มน้ำแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ที่มาในครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องที่จะไหว้วานเธอ ซูยุ่น”
ลู่ป่ายถงพูดแบบนี้ฉันเหมือนได้รับเกียรติอย่างน่าตกใจ จึงรีบโบกมือ: “พี่ชาย พี่มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะค่ะ ไหว้วานอะไรกัน ฉันรับไม่ไหวหรอกค่ะ”
เขายิ้มออกมา ครั้งนี้จึงพูดอย่างไม่เกรงใจว่า: “คืออย่างนี้ ปีนี้บริษัทของพวกพี่จะจัดงานฉลองครบรอบสิบปี จึงอยากให้มีสักกิจกรรมหนึ่งออกมา พี่ได้ยินว่าเราทำด้านนี้อยู่ จึง
บอกลู่จือสิงให้ช่วยติดต่อเรามานะครับ”
พอฉันได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา: “อย่างนี้นี่เองค่ะ ไม่มีปัญหาเลย ว่าแต่บริษัทพี่จะฉลองครบรอบสิบปีเมื่อไหร่หรือคะ พอดีฉันมีกิจกรรมที่เมือง J อยู่งานหนึ่งซึ่งยังทำไม่เสร็จนะคะ ช่วงเวลานี้เกรงว่าจะรับโครงการอื่นไม่ได้แล้ว ถ้าหากพี่ชายเร่งด่วนจริงๆ ฉันพอจะแนะนำเพื่อนร่วมงานของฉันให้ได้ค่ะ เธอเก่งงานด้านนี้มากเลยนะคะ”
“ไม่รีบครับ เป็นช่วงเดือนพฤษภาคมนู่น ยังอีกสี่เดือนเห็นจะได้ พี่บอกเราเอาไว้ก่อน ถึงตอนนั้นพี่ค่อยเข้าไปบริษัทของพวกเธอ”
ฉันพยักหน้า: “เดือนพฤษภาคมหรือคะ โครงการในมือฉันน่าจะจบช่วงเดือนมีนาคมได้ค่ะ”
งานฉลองครบรอบปีควรจะต้องจัดให้เด่นดังเสียหน่อย กับเวลาสองเดือนก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เขาพูดยิ้มๆ: “งั้นก็ดีเลยครับ”
หลังจากที่พูดคุยกันแล้ว เขาก็ให้ลู่จือสิงส่งฉันกลับไป ไม่รั้งให้ฉันอยู่ต่ออีก
“พี่ซูยุ่น?”
ฉันกับลู่จือสิงเพิ่งเดินออกประตูของห้องอาหาร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของหลี่ฮุ้ยหรู
ทีแรกฉันยังคิดว่าตัวเองหูแว่วไป แต่พอหันกลับไปก็เจอกับหลี่ฮุ้ยหรู: “พี่ซูยุ่น”
พูดตามตรงฉันไม่ได้สนใจเธอมากนัก แต่ตอนนี้เธอยังเป็นนักศึกษาฝึกงานของบริษัทเราอยู่ จึงได้แต่ฝืนตอบกลับ: “บังเอิญอะไรอย่างนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้