"ข้าชื่อไป๋หลันเจ้าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักท่านเฟยเทียน"
"ยินดีที่ได้รู้จักเด็กน้อยไป๋หลัน แล้วพบกันใหม่" เฟยเทียนเอ่ยพร้อมกับยิ้มออกมา นางทำหน้าตลกตอนที่เขาเรียกว่าเด็กน้อย
เฟยเทียนก้าวเดินออกมาปล่อยให้นางนั่งพักอยู่ตรงนั้นสักครู่คงจะหายจากอาการบาดเจ็บ เขาไม่อยากรบกวนนางมากนักคงจะรู้สึกอึดอัดเพิ่งเคยพบหน้ากันนางคงไม่ไว้ใจเขาเท่าไร
ทางด้านไป๋หลันที่นั่งอยู่บนก้อนหินข้างทางรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก ที่ชายผู้นั้นยอมเดินออกไป แต่ดูจากกิริยาท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนที่พอคบหาได้อยู่ พลันเมื่อมองลงมาที่มือของตนเองก็พบว่า
'อ้าว นางลืมคืนตลับยาให้ท่านเฟยเทียนแต่คงไม่เป็นไรหรอกถ้ามีโอกาสพบกันค่อยคืนให้ก็ได้'
ไป๋หลันหยิบตลับยาของตนเองออกมาจากมิติเมื่อเปิดฝาออกกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็ลอยออกมานางรีบป้ายยาแล้วทาบริเวณขาที่บวมทันที ผ่านไปเพียงสิบลมหายใจเท้าที่บวมแดงก็กลับมาหายเป็นปกติ นางจึงออกเดินทางต่อทันที
# จวนเจ้าเมืองเหอจื่อหมิง
เจ้าเมืองเหอจื่อหมิงตั้งแต่เกิดเหตุไฟไหม้เขาได้ส่งนกพิราบสื่อสารไปยังเมืองหลวงเพื่อส่งข่าวให้บุตรชายทั้งสองของตนทราบและให้ช่วยหาหมอเก่ง ๆ มารักษาน้องสาว เขาเองหมดปัญญาแล้วเพราะเนื่องจากที่ป่วยคราก่อนเขาทุ่มเงินตามหาหมอเก่ง ๆ มารักษานางจนเงินที่เก็บสะสมมาร่อยหรอลงไป ครานี้จะทำเช่นนั้นอีกคงไม่ได้
นางคร่ำครวญเสียใจกล่าวตัดพ้อต่อว่าเขา ไม่ห่วงใยรักใคร่และไม่อยากให้แผลบนร่างกายของนางหายเป็นปกติ และอีกสารพัดที่นางสรรหาคำมากล่าว ตัวเขาเองรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักไม่เว้นแม้แต่ฮูหยินของเขาที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ คอยดูแลนางอยู่ไม่ห่างกายเพื่อปลอบและคอยให้กำลังใจกลัวว่านางจะคิดสั้น
บุตรคนโตนามว่าเหอฮุ่ยหมิง อายุยี่สิบห้าปี เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ส่วนบุตรคนรองนามว่า เหอซิ่นเฉิง อายุยี่สิบปีเพิ่งสอบรับราชการได้ ตัวเขาเองไม่อยากรบกวนบุตรชายทั้งสองแต่อย่างใดรู้ว่าคงกำลังยุ่งกับเรื่องงานอยู่แต่เรื่องของบุตรสาวก็เป็นเรื่องที่เกินจะรับมือจริง ๆ
"ท่านพ่อไม่ต้องห่วงข้าจะพยายามหาหมอมารักษานางให้หายเป็นปกติ" เหอซิ่นเฉิงเอ่ยกับบิดาของตน เขาเองที่ได้รับข่าวที่ท่านพ่อส่งมาก็รีบเดินทางออกมาจากเมืองหลวงทันที เนื่องจากตำแหน่งงานที่เพิ่งสอบได้นั้นยังต้องรอรายงานตัวอีกสิบห้าวัน เขาจึงสามารถเดินทางกลับมาดูน้องสาวได้
แต่! ในขณะที่กำลังออกเดินทางนั้น ก็มีสหายจอมยุ่งผู้หนึ่งมาขัดขวางเอาไว้และขอให้ช่วยพาหลบหนี เนื่องด้วยต้องการหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงน้ำชาหรืองานดูตัวของบุตรีขุนนางในวัง
ในคราแรกเขามิได้ตอบรับ แต่สหายยื่นข้อเสนอเพื่อแลกกับการพาออกจากเมืองหลวง เขาจึงตอบรับข้อเสนอนั้นทันทีเผื่อมีประโยชน์ในภายภาคหน้า ตนจึงช่วยหลอกล่อหลบหลีกทหารและองครักษ์ออกมาได้ และได้เดินทางมายังเมืองหนานเหอด้วยวิชาตัวเบาที่ร่ำเรียนกันมา เพียงหกชั่วยามก็เดินทางมาถึงยังที่หมายโดยมิได้หยุดพัก
"แล้วเจ้ามีวิธีใดหรือคิดไว้หรือยัง พ่อเองก็ไม่อยากรบกวนเจ้านักคงจะยุ่งเรื่องงานอยู่มิใช่น้อย" เหอจื่อหมิงเอ่ย บุตรชายทั้งสองของตนนั้นเป็นคนมีความคิดอ่านฉลาดหลักแหลมเพราะตนเข้มงวดสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเล็ก ผิดกับบุตรสาวที่ตนเอาอกเอาใจแม้นางจะทำผิดก็ไม่เคยเอ่ยดุว่ากล่าวตักเตือนเพราะความน่ารักน่าชังของนาง จนเติบโตกลายเป็นคนเอาแต่ใจอารมณ์ร้อนยากที่จะแก้ไข
"ข้าจะลองคุยกับสหายก่อนเผื่อจะหาทางช่วยเหลือนางได้" สหายของตนต้องช่วยเหลือได้เป็นแน่
"แล้วสหายของเจ้าคือผู้ใดหรือ ดูท่าทางสูงสง่าผิดกับคุณชายท่านอื่นนัก" เหอจื่อหมิงเอ่ยถามอย่างสงสัย บุตรของตนแนะนำให้รู้จักสหายนามว่าเฟยเทียนแต่นามนี้มันช่างคุ้นหูยิ่งนักเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก
"สหายของข้ามีนามว่า หนานเฟยเทียน องค์ไท่จื่อแห่งแคว้นหนานอย่างไรเล่าขอรับท่านพ่อ" เหอซิ่นเฉิงเอ่ยตอบ จริงแล้วสหายของเขาขอให้ปิดบังฐานะที่แท้จริงเพราะได้ออกนอกวังทั้งทีอยากใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทั่วไปดูบ้าง
"ห๊า!!จะ...เจ้าว่าอย่างไรนะ องค์ไท่จื่อเช่นนั้นหรือแล้วเจ้าทำไมถึงไม่บอก พ่อจะได้จัดเตรียมต้อนรับให้สมพระเกียรติ" เหอจื่อหมิงเบิกตากว้างพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
"ท่านพ่อ ท่านมิต้องทำเช่นนั้นองค์ไท่จื่อทรงต้องการใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทั่วไป ท่านก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็แล้วกัน ถ้าไม่อยากให้พระองค์ทรงกริ้ว" เหอซิ่นเฉิงเอ่ย
"เช่นนั้นก็ได้ พ่อเข้าใจองค์ไท่จื่อคงอยากออกเที่ยวเล่น มิอยากหมกมุ่นอยู่แต่ในวัง พ่อจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน"
ฮูหยินของตนมีสหายสนิทซึ่งไปมาหาสู่กันบ้างและนางมีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง จึงอยากได้อาหลงมาเป็นทองแผ่นเดียวกัน นางเคยพาหลานสาวมาเที่ยวที่พรรคจันทราตอนนั้นอายุราวสิบขวบปี ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักตั้งแต่ยังเยาว์ ตอนนั้นอาหลงอายุสิบห้าปีคงจะรู้ว่าผู้ใหญ่คิดการเช่นใด จึงเอ่ยปากกับท่านยายของตนว่าจะไม่ยอมหมั้นหมายโดยเด็ดขาด ถ้าท่านยายตกลงหมั้นหมายเขาจะหนีออกจากพรรคจันทราแล้วจะไม่กลับมาอีกเลย
"เรายังมิได้ตกลงหมั้นหมายกันแค่บอกว่าให้พวกเขาเติบโตเสียก่อนถ้าพวกเขาชอบพอกันเราค่อยตกลงเรื่องหมั้นหมายกันทีหลัง" ลู่หลิงเซียงเอ่ย นึกย้อนกลับไปตนเองมิได้ปฏิเสธเพื่อหักหาญน้ำใจสหายของตนแค่เอ่ยปัดออกไปเท่านั้น เผื่อทั้งคู่จะมีใจชอบพอกันเมื่อยามเติบโตขึ้น
"เช่นนั้นก็ดีถ้าอาหลงรักใคร่หญิงใดเรามิควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เขาเลือกคู่ครองเองเถิดเราควรยินดีที่เห็นหลานชายคนเดียวมีความสุขกับคนที่เขารัก" ลู่อี้หลางเอ่ย
" เจ้าค่ะท่านพี่ เรื่องคู่ครองของอาหลงข้าจะไม่เข้าไปยุ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นสหายคนสนิทของข้าก็ตาม ท่านพี่กลับไปฝึกต่อเถิดเจ้าค่ะข้าจะไปช่วยงานในครัวเสียหน่อย" ลู่หลิงเซียงเอ่ย แล้วเดินออกไปยังโรงครัวทันที
# พรรคจันทรา ยามซวี(19.00-20.59)
" มันยอมเปิดปากพูดหรือไม่ " หนานเหวินหลงเอ่ยถามตงชิน องครักษ์ข้างกาย
" ทราบแต่ว่ามันเป็นคนของพรรคตะวันเพลิงที่ส่งคนเข้ามาแฝงตัวอยู่ในพรรคของเราและคอยรายงานความเคลื่อนไหวของทางพรรคจันทราให้กับทางพรรคตะวันเพลิงทราบ แต่มันไม่ยอมเปิดปากพูดว่าพวกมันมีแผนชั่วร้ายอันใดขอรับ" ตงชินเอ่ย
"พวกมันคงต้องการกำจัดพรรคของเราเพื่อจะได้ขึ้นเป็นพรรคที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแทน พวกคนชั่วมันคงจะหาทางลงมือในไม่ช้านี้เป็นแน่ บอกให้ทุกคนเตรียมตัวรับมือให้พร้อม ห้ามคนแปลกหน้าเข้ามาบริเวณเชิงเขาเด็ดขาด ถ้ามีสิ่งใดผิดสังเกตให้รีบรายงานข้าทันที แล้วไอ้พวกไร้ประโยชน์ก็จัดการมันทิ้งเสีย" หนานเหวินหลงเอ่ย เขาคงต้องรีบวางแผนให้รวบรัดกว่าเดิมจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
"ขอรับท่านประมุข" ตงชินเอ่ยพร้อมกับหายวับออกไปทันที
“คิดจะล้มพรรคจันทราอย่างนั้นหรือ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก" หนานเหวินหลงพึมพำกับตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หลินไป๋หลัน
1...