ตอนที่ 333 แขวนคอด้วยเส้นหมี่
“เอ เธอลองไปสืบดูที่โรงพยาบาล เพื่อจะเจอเบาะแสอะไร” กวินกดคีย์บอร์ดไปด้วย แล้วพูดกับเอไปด้วย
“ค่ะ” เอตอบรับ รีบไปทำถามคำสั่งของกวิน
แต่ว่า ในเมื่อธารีเป็นคนทำ และถ้ายังจงใจใส่ร้ายแม่ของเขา ความเป็นไปได้ในการทิ้งหลักฐานไว้น้อยมาก
ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ กวินก็ไม่อยากทิ้งเบาะแสใดๆไปหลุดลอยไป อีกทั้งตอนนี้ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ เพียงแค่ที่เอเห็นยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของแม่เขา
แต่เมื่อเอแอบเข้าไปตรวจสอบในโรงพยาบาลนภัทร กลับโดนคนบางคนที่เฝ้าอยู่ที่นี้แต่แรกจับได้
ธารีถูกส่งตัวเข้าห้องผู้ป่วยหนัก เอเลยเข้าห้องผู้ป่วยเดิมได้อย่างง่ายดาย ตรวจค้นอย่างละเอียด
ถึงแม้ธารีจะระมัดระวังมาก แต่เอก็ยังเจอเบาะแสเล็กๆบางอย่าง
บนโต๊ะมีผงตกอยู่ ถึงแม้จะไม่มาก แต่เป็นถึงส่วนหนึ่งขององค์กร5คน ถ้าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ถ้างั้นเอก็คงจะแขวนคอตัวเองด้วยเส้นหมี่ได้เลย
เธอนั่งลง ค่อยๆเก็บเศษผงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังลงบนถุงใส่ใบหนึ่ง แล้วปิดปากถุงอย่างระวังแล้วเก็บ
ตอนนี้ เสียงของสิ่งของบางอย่างที่โยนมาทางด้านหลังเธอ เอนั่งหันหลังให้กับของสิ่งนั้นนั้นอยู่เพียงแค่หันหัวไปข้างๆ ก็หลบพ้นจากการจู่โจมแล้ว
ของสิ่งนั้นกำลังไปทางกระจก ตามด้วย “เพล้ง” กระจกบานนั้นแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกลงกับพื้นในทันที
“อุ้ย น้ำหนักแรงใช่ได้เลยนะ” เอผิวปาก แล้วหันหลังกลับมา หันหน้าไปทางประตูห้องผู้ป่วยที่ไม่คนอยู่
ถึงแม้ว่าสิ่งที่โยนมาเมื่อกี้จะเร็วมาก แต่เธอก็ดูออกอย่างชัดเจนแล้ว มันคือเหรียญหนึ่งหยวน
สามารถใช้เหรียญโยนใส่กระจกจนแตกได้ ดูรู้เลยว่าแรงแขนและความแม่นยำไม่ธรรมดา
“หลบได้ดี” หน้าประตูถึงแม้จะไม่มีคน แต่กลับมีเสียงตอบกลับเธอ
“หลบอยู่ในที่มืดมันไม่แน่จริง แน่จริงก็ออกมาดวลกับฉันสิ” ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่เอไม่มีความคิดที่จะสู้กับคนคนนี้เลย
เธอเก็บผงยาไว้อย่างดี นัยน์ตาถึงแม้จะมีความโกรธแต่ก็มีตรวจดูรอบห้องอย่างระมัดระวัง
เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในองค์กร เพราะความสามารถอยู่ในอันดับ7 เลยได้ชื่อเอมา เธอไม่มีชื่อเป็นของตัวเอง ถึงจะมี ก็จำไม่ได้
แต่ว่าเธอใช้ชื่อเอเป็นชื่อของตัวเองมาตลอด
เพราะเธอเป็นผู้หญิง เธอจึงมีความกล้าหาญกว่าผู้ชายในบางด้าน และยังละเอียดกว่ามาก
ความสามารถในการซ่อนตัวของเอ นอกจากอันดับแรกๆองค์กรแล้ว ยังไม่ทีใครสามารถจับเธอได้
แต่วันนี้คนคนนี้กลับหาเธอเจอ ดังนั้นเอเลยรู้สึกสนใจคนที่สามารถหาเธอเจอได้คนนี้มาก
จากที่เธอรู้มา ในเมืองAนอกจากแคมป์ฝึกสอนของพ่อกวินแล้ว ไม่มีที่ไหนที่จะมาเปรียบเทียบกับองค์กรของเธอได้ หรือว่า สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว?
หรืออีกอย่าวคือ องค์กรใต้ดิน?
“เธอก็ยังเหลาะแหละเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ” คนคนนั้นพูด น้ำเสียงไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง ขณะที่เอกำลังตกตะลึงกับคำพูดของเขานั้น คนคนนั้นก็พูดคำสองคำที่ทำให้เอตกตะลึงมากกว่าเดิม
“เฟิร์น” เอสีหน้าเคร่งขรึม “เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่กับพวกเราในวันนั้น แต่ตอนที่อีก4คนตายไป พวกเรานึกว่าเขากับคุณหนูเย่ต่างตายไปแล้ว”
“แต่ว่ายายฉันยังมีชีวิตอยู่ และยังแต่งงานกับชยุต ถ้าอย่างนั้นเฟิร์นก็ต้องยังมีชีวิตอยู่ ใช่ไหม?” กวินพูดต่อจากเธอ
ตอนนั้นเพื่ออำนาจและทรัพย์สมบัติของบ้านวงศ์ตระกูลแล้ว ที่แรกองค์กร10คนควรจะเลือกคน5คนร่วมตาอสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน แต่ว่าเฟิร์นกลับได้รับคำสั่งของหัวหน้าวงศ์ตระกูล หนีไปกับคุณหนูใหญ่บ้านวงศ์ตระกูลหรือแม่ของคุณวรินทรยายของกวิน
ตอนนั้นในองค์กรสิบคนมีสี่คนที่อายุมากกว่า นอกนั้นหกคนบอกว่าเป็นคนขององค์กร แต่ควรเรียกว่าคนที่พวกเขาฝึกมาเพื่อให้เป็นผู้สืบทอด ตอนนั้นพวกเขายังเด็ก คนที่เสียสละชีวิตก็เป็นคนที่อายุมากกว่าเป็นธรรมดา
นี้ก็คิดเพื่ออนาคต หลังจากที่เอฟและอีก5คนมีชีวิตรอดมาได้ แอบจัดการดูแลทรัพย์สมบัติแล้วอำนาจของบ้านวงศ์ตระกูล รอคอยให้เจ้าของแหวนลึกลับปรากฏตัว
การรอคอยที่สูญเปล่าตลอดหลายปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอกับกวิน ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกตัวเขามีสายเลือดของวงศ์ตระกูลอยู่ และยังเป็นเด็กผู้ชายอีก เหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบทอดมากที่สุด
เอพยักหน้า สีหน้าไม่ค่อยดีนัก เฟิร์นยังมีชีวิตอยู่ ทำไมไม่ติดต่อเธอมาแถมยังจู่โจมเธออีก
หรือว่าหลายปีมานี้ เขาเปลี่ยนไปแล้ว?
กวินครุ่นคิด เกิดแสงสว่างขึ้นมาในความคิดกะทันหัน เขารีบถามเอ “เอเอ เธอรู้สถานการณ์ตอนนี้ของชยุตไหม?”
“ทราบค่ะ หลังจากเหตุระเบิดบ้านพูลสวัสดิ์ครั้งก่อนชยุตก็ทำตัวค้อมต่ำลงมาก บริษัทเอซิกิก็สั่นคลอนเพราะพ่อของคุณ แต่ว่า” เอขมวดคิ้ว แล้วพูดต่อ “แต่ว่าชยุตก็ไม่ได้กอบกู้บริษัทเอซิกิ และปรากฏตัวน้อยลง”
“งั้นก็น่าแปลกหล่ะ ชยุตหวงทรัพย์สินบริษัทที่สุดแล้ว ทำไมบริษัทเอซิกิจะล่มอยู่แล้วยังแน่นิ่งขนาดนี้ ไม่ได้มาหาคุณแม่และไม่มี ปฏิกิริยาใดใดเลยหล่ะ?”
กวินวางมือข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะ อีกข้างจับคางไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนี้รักประธานเจ้าเล่ห์
ก็รู้นี่นาว่าตอนที่หายไปกำลังท้อง ทำไมไม่ถามถึงเด็ก...