เบญญารักมรุเดชมาก ใส่เขาไว้ในหัวใจอย่างระมัดระวังเป็นเวลาสิบหกปี ความลับนี้ไม่มีใครรู้
เบญญาเงยหน้าร้องไห้และหัวเราะเสียงดัง ทันใดนั้นเธอก็ยื่นมือไปหามรุเดช ยังไม่ทันแตะตัว ชายตรงหน้าก็ถอยหลังหลบมือของเธออย่างรังเกียจ
เบญญาคว้ากลางอากาศที่ว่างเปล่า หยาดฝนตกใส่มือเธอ มันหนาวเหน็บรุกล้ำเข้าไปในหัวใจ
ในช่วงเวลานั้น เบญญารู้สึกว่าพวกเขาห่างกันไกลมาก ไกลจนเกินเอื้อม ถึงแม้เธอจะใช้เวลาทั้งชีวิตก็คว้ามรุเดชมาไม่ได้
ก็เหมือนฝนในมือ……
เธอเงยหน้ามองใบหน้าเย็นชาของมรุเดช พูดเน้นย้ำอย่างสะอึกสะอื้น “มรุเดช ฉันเจ็บมากเลยอ่ะ……”
มรุเดชแค่ขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อคำพูดเบญญา ที่จริงอยู่กันมาตั้งหลายปี มรุเดชรู้จักเบญญาดีมาก เขารู้เธอกลัวความเจ็บและความทุกข์ แต่แค่คุกเข่าครึ่งชั่วโมง เธอไม่ตายหรอก
“เบญญาอย่าเสแสร้ง ให้เธอคุกเข่าครึ่งชั่วโมงก็ทำท่าเหมือนจะตาย ไม่ต้องห่วง พ่อเธอไม่ตายหรอก เธอยืนขึ้นมาได้แล้ว”
ร่างกายเหมือนถูกเข็มแทง ไม่มีส่วนไหนไม่เจ็บ ที่เจ็บปวดสุดคือหัวใจ เนื้อก้อนนั้นเหมือนเน่าเปื่อยตายไปแล้ว
เบญญายังคงยิ้ม รอยยิ้มนั้นน่าเกลียดกว่าร้องไห้อีก
มรุเดชไม่เข้าใจว่าเบญญายิ้มทำไม อย่างอธิบายไม่ได้……เขาเกลียดรอยยิ้มนี้ เบญญายิ้มจนทำให้เขาจิตใจว้าวุ่น
“ไอ้บ้า!” มรุเดชด่าไปหนึ่งประโยค ยื่นมือไปดึงแขนเบญญา เขาถึงได้รู้ว่าร่างกายเธอเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง
เสียงหัวเราะเบญญาหยุดทันที ร่างกายโอนเอน มรุเดชรับเธอไม่ทัน เห็นเธอล้มไปข้างๆ ต่อหน้า เหมือนตุ๊กตาผ้าที่ตกลงไปในแอ่งน้ำ
เบญญาไม่หัวเราะอีกแล้ว ไม่แม้แต่ขยับ ทั้งร่างอ่อนแออยู่บนพื้น เงียบสงัดเหมือนตาย……
เธออ้าปาก เลือดไหลออกมาจากปากเธอเป็นสาย ย้อมแอ่งน้ำใต้ใบหน้าเธอให้เป็นสีแดง แดงจนแสบตา
มรุเดชแข็งทื่อไปทั้งร่าง เหมือนโดนค้อนหนักทุบ สมองวิงเวียนไม่หยุด เห็นภาพตรงหน้าแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง
สุดท้ายร่างกายก็ไวกว่าสมอง เขาทิ้งร่มในมือแล้วอุ้มเบญญาขึ้นมา เบญญาที่มีฝนทั่วร่างไม่ได้หนักไปกว่าก่อนหน้านี้ หน้าซีดจนเห็นเส้นเลือดเล็กๆ ข้างใน
“เบญญา!” มรุเดชโกรธเกรี้ยวสุดขีด แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้สึกว่าเสียงเขาในตอนนี้มันสั่นมากแค่ไหน ในนั้นมันมีความกลัวมากแค่ไหน
เขาไม่กล้ารอช้าสักนิด อุ้มร่างที่ซบเซานี้ใส่รถเหมือนหนีตาย
พิรัชย์เป็นคนสายตาไวในการทำงาน เมื่อเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติ ก็รีบออกตัวไปรับหน้าที่คนขับรถ
เบญญาพิงในอ้อมกอดมรุเดชอย่างหละหลวม ผมยาวเหมือนสาหร่ายทะเลคลุมทั้งหัวใจเขา ปลายคิ้วผลุบลงหลับตาครึ่งหนึ่งด้วยความเจ็บปวด
เธอมองชายหนุ่มที่อุ้มเธอด้วยความลึกซึ้ง เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอไม่กล้าหลับ เธอกลัวหลับแล้วจะไม่ตื่นอีก ความตั้งใจที่เหลือเพียงน้อยนิดใช้ไปกับการมองมรุเดช อยากสลักท่าทางเขาครั้งสุดท้ายไว้ในหัวใจ ค่อยสลายหายไปตามกาลเวลาทีละนิด
“ม……มรุเดช……นายรู้ไหม……เบญญาเมื่อสิบหกปีก่อน……ชอบ……ชอบนายมาก……ชอบมาสิบหกปี……ตอนนี้เธอ……ไม่มีแรงรักนายอีกต่อไปแล้ว……” เบ้าตาเบญญาชุ่มชื้น พูดจบด้วยความสั่นเครือ
ว่ากันว่าทำให้การแต่งงานแตกแยกจะกรรมตามสนอง เมื่อก่อนเธอไม่เชื่อ ผลมันมาในตอนนี้แล้ว
แต่เธอไม่ได้ทำความชั่วอะไรมากมาย เธอแค่ชอบคนคนหนึ่งมากเกินไป ชอบมาสิบหกปีเต็มๆ
เธอพูดเรื่องไร้สาระอีกแล้ว เบญญาบอกเขาว่าพวกเขารู้จักกันเมื่อสิบหกปีก่อนมามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่สิบหกปีก่อน เขาไม่เคยเจอเธอ!
สายตาเบญญาคลุมเครือ ตกอยู่ในความมืดมิดทีละนิด เธอไม่เห็นสีหน้าสับสนของมรุเดชในตอนนี้
ทรวงอกตะคริวกินทันที กระอักเลือดออกมาจำนวนมาก มันย้อมเสื้อผ้ามรุเดชจนเป็นสีแดง
“เบญญา เธอเป็นอะไรกันแน่?!” มรุเดชยื่นมือไปเช็ดเลือดบนหน้าเธออย่างร้อนใจ ผลคือยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งมาก มือสองข้างถูกย้อมเป็นสีแดงก็ไม่เช็ดออก
ทั้งศีรษะเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเบ้าตาก็แดงฉาน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์ช่างอ่อนแอ เบญญาที่นอนในอ้อมกอดเขาเหมือนใกล้จะตาย
เบญญา……เบญญา……
ในใจมรุเดชทบทวนสองคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ยอมรับว่าเขาแคร์เธอ ในใจหวาดหวั่น แค่เพราะในร่างกายเธอมีกรุปเลือดเดียวกับนันท์นลินเท่านั้นเอง
——นั่นคือมรุเดชเมื่อสิบหกปีก่อน
มรุเดชเมื่อสิบหกปีก่อนหน้าตายังไงเบญญาไม่แน่ใจ แค่จำได้รางๆ ว่าตอนวัยรุ่นสูงกว่าเธอหนึ่งศีรษะ ใบหน้ามีรอยยิ้มเกลี้ยงเกลา แขนเล็กมาก ตอนแบกเธอก็มีกำลังที่ไม่สมวัยเขา ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเต็มเปี่ยม
ฤดูใบไม้ผลิปีนั้น เบญญาอายุเจ็ดขวบถูกธมเชษฐ์พาไปทิ้งที่สนามเด็กเล่น มรุเดชไป “รับ” เธอมา แล้วแบกเธอกลับไป
ระหว่างทางมรุเดชผลไม้เคลือบน้ำตาลให้เธอด้วย ยิ้มแล้วปลอบเธอ “เจ้าเด็กขี้แย กินผลไม้เคลือบน้ำตาลเถอะมันหวานมาก กินเสร็จก็ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
เธอลองชิมหนึ่งเม็ด ถูกหลอกแล้ว ข้างนอกหวานแต่ข้างในเปรี้ยวเข็ดฟัน แต่รสชาติแบบนี้มันดีที่สุดที่เธอเคยชิมมาทั้งชีวิต จนถึงวันนี้ก็ยากที่จะลืม
หลังจากกลับมาถึงบ้าน เธอเป็นไข้หวัด ตรวจแล้วว่าแพ้สตรอเบอร์รี่
ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ไม่เคยแตะต้องมันอีก
เธอชอบมรุเดชก็เหมือนกับผลไม้เคลือบน้ำตาลที่ทำให้เธอแพ้นั่นแหละ
รู้ทั้งรู้ว่าสัมผัสไม่ได้ แต่เธอยังไปสัมผัสมันโดยไม่ลังเลอีก
ชีวิตคนก็เหมือนละคร แป๊บเดียวก็ผ่านไปสิบหกปี ทำให้วัยรุ่นที่เคยอ่อนหวานกลายเป็นความเย็นชาไร้ความเมตตา เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาไม่ใช่คนที่เอาผลไม้เคลือบน้ำตาลมาปลอบเด็กขี้แยอย่างเธออีกแล้ว
เธอพนันหมดตัวว่าสี่ปีว่ามรุเดชจะรักเธอ พนันว่าเขาจะนึกถึงเมื่อสิบหกปีก่อน แต่สุดท้ายผลก็คือเธอล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
รักโง่ๆ ที่ขาดความรู้ในวัยเยาว์ เป็นแค่ความสมัครใจเธอฝ่ายเดียว
“แย่แล้ว ความอิ่มตัวของออกซิเจนลดลง อาการคนไข้ตกอยู่ในอันตราย!”
“คนไข้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย ต้องให้ครอบครัวเซ็นข้อตกลงการผ่าตัดและหนังสือรับรองโรคร้าย รีบไปให้เชิญคุณหมอชิตมาผ่าตัดช่วยชีวิต!”
“ตี๊ด——” เครื่องมืออุปกรณ์เกิดเสียงเย็นยะเยือกแสบแก้วหู……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ห้วงอาวรณ์ คืนสู่วันวาน