ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 561

"ใคร? ใครเป็นคนถีบข้า!"

ผางอานคางถูกถีบจนเดินเซโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อทรงตัวได้ก็หันกลับมามองทันที

"เซวฟู่ยี่เหรอ?! คุณกล้าดีอย่างไงถึงไม่ถีบผม?"

เมื่อมองไปที่เซวฟู่ยี่ ใบหน้าของผางอานคางก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ยังมีแววตาที่หวาดกลัวเล็กน้อย

ผัวะ!

เพียงแต่ว่า เซวฟู่ยี่ไม่ได้รีรอ เขาเข้าไปและตบหน้าอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า "แล้วแกคิดว่าแกเป็นใคร? กล้าดียังไงถึงมาพูดจาแบบนี้กับข้า?"

“เซวฟู่ยี่ นี่คุณ……”

ผางอานคางชายร่างกำยำผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเซวฟู่ยี่จะกล้าลงมือทำร้ายเขา จึงได้แต่อึ้งอยู่กับที่

แต่ผางอานคางยังไม่ทันได้พูด เซวฟู่ยี่ก็ตบใส่เขาอีกครั้ง

แต่ว่า ครั้งนี้ผางอานคางรู้ทัน จึงยกมือบังไว้ทันเวลา

"คุณอะไร? ขนาดแขกที่ตระกูลเซวเชิญมานายยังกล้ารังแก เป็นเพราะข้าไม่ได้ออกงานนานเกินไปใช่ไหม นายถึงไม่เห็นหัวข้าแบบนี้?!"

วินาทีต่อมา เซวฟู่ยี่ก็ถีบใส่เขาแรงๆ อีกที

ผางอานคางถูกถีบจนเดินโซเซถอยหลังออกไป ในที่สุดเขาไม่สามารถประคองตัวได้และล้มลงกับพื้นแรงๆ

"เขาเป็นแขกของตระกูลเซวของพวกคุณงั้นเหรอครับ?"

ในเวลานี้ เขาเริ่มตั้งสติได้ และสีหน้าก็ซีดเซียวทันที

"แล้วมัวชักช้าทำไม? ยังไม่รีบขอโทษพี่เย่อีก!"

เซวฟู่ยี่ไม่หยุดเพียงแค่นี้ และยังตะคอกใส่ผางอานคางด้วยความเย่อหยิ่ง

ผางอานคางถึงกับตากระตุก ในใจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมมาก ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่ถูกทำร้าย แต่เขายังต้องขอโทษเอง?

"ขอ ขอโทษครับ"

เมื่อนึกถึงอำนาจของตระกูลเซวแล้ว เขาก็ต้องยอมขายหน้า และจำใจต้องพูดคำขอโทษออกจากปากของเขาเอง

ตระกูลผางเป็นตระกูลที่แทบจะไม่มีสิทธิ์ยืนอยู่ในกลุ่มอำนาจสูงสุดด้วยซ้ำ แต่ตระกูลเซวนั้นเป็นถึงกำลังสำคัญของเหล่าตระกูลที่มีอำนาจสูงสุด แล้วถ้าเกิดมีการปะทะกัน ฝ่ายที่จะเสียเปรียบจะเป็นตระกูลผางอย่างไม่ต้องสงสัย

และนี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเซวหมานจื่อถึงไม่กล้าขวางเย่เทียนตั้งแต่ตอนที่อยู่สนามบิน

สิ่งแรกก็คือความสัมพันธ์ระหว่างหยุนเหมิงหยาน ส่วนเรื่องที่สอง เขาไม่เคยต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลผางเลยด้วยซ้ำ

แต่ผางอานคางจะรู้ได้อย่างไงว่าเซวหมานจื่อกำลังคิดอะไรอยู่ ในตอนแรก เขาคิดว่าเซวหมานจื่อไม่อยากยุ่งด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากล้าหาเรื่องแก้แค้นเย่เทียน

"นายพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน!"

แต่ทว่า เซวฟู่ยี่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร เขาจึงขมวดคิ้วแล้วแสยะยิ้มออกมา

เมื่อผางอานคางได้ยินเช่นนี้ เขาถึงกับกำหมัดไว้แน่นๆ จนกระทั่งเล็บแทบจะทิ่มเข้าไปในผิวหนัง

แต่เขารู้อยู่แก่ใจ ถ้าเขาทำให้เรื่องมันใหญ่ไปมากกว่านี้ เรื่องคงไม่จบด้วยการขอโทษง่ายๆ อย่างแน่นอน บางทีอาจถึงขั้นขายหน้าไปถึงพ่อของเขาเลยด้วยซ้ำ

"ขอโทษครับ!"

เมื่อนึกถึงจุดนี้ ผางอานคางก็ตะโกนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขารู้สึกเพียงใบหน้าร้อนไปทั้งใบ และเขาแทบอดไม่ได้ที่จะมุดเข้าไปในดินแล้วหายตัวไปทันที

"ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก?"

เซวฟู่ยี่พยักหน้าดัวยความพอใจ และเตะใส่ผางอานคางอีกครั้ง

"เดี๋ยวก่อน! ผู้หญิงของคุณยังไม่ได้จ่ายเงินให้ผมเลยนะ! "

ผางอานคางได้แต่ระงับความโกรธในใจ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปนั้น เสียงอันเย็นชาของเย่เทียนก็ดังขึ้นข้างหูเขา

"ในบัตรใบนี้มีอยู่สามแสน รหัสคือหกหกตัว"

ผางอานคางโกรธมาก แต่ไม่กล้าแสดงอาการใดๆ เขาแค่อยากออกไปจากที่ที่ทำให้เขาขายหน้าให้เร็วที่สุด จึงหยิบบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าอย่างรวดเร็วแล้วโยนมันออกไปและพูดว่า "ส่วนที่เหลือ ถือว่าแทนคำขอโทษก็แล้วกันครับ!"

เมื่อพูดจบ เขาก็รีบลุกขึ้นและเดินออกไปทันที

“เหอะๆ!”

เย่เทียนก็ถึงกับอึ้งไปสักพัก ถ้าจำไม่ผิด กำไรข้อมือที่ทำจากเพรชเส้นนั้นน่าจะแค่แสนกว่าเท่านั้น? แต่ตอนนี้ได้กำไรมาแสนห้า? เงินนี้มันจะหาง่ายไปหน่อยหรือเปล่า?

ต่อมาหลังจากถูกหยุนเหมิงหยานเล่นงานจนเข็ด และพี่ชายยังตำหนิเขาแบบนี้ ทำให้เขาไม่กล้าดูถูกหยุนเหมิงหยานอีกเลย และยังคิดในใจว่าเขาจะไม่กล้ามีเรื่องกับพี่สะใภ้คนนี้อีกเป็นอันขาด

"คุณผู้ชายคะ ไม่ทราบว่าคุณจะเอาสร้อยข้อมือเส้นนี้อยู่หรือเปล่าคะ?"

โชคดีที่ตอนนี้มีพนักงานขายเดินมาถามพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

"เอาสิ! เอาแน่นอนอยู่แล้ว!"

เย่เทียนยื่นบัตรเครดิตที่ไดัรับเมื่อครู่นี้ออกไปพร้อมกับยิ้มพูดว่า "รบกวนช่วยเก็บสร้อยข้อมือใส่กล่องด้วยนะครับ ส่วนการ์ดใบนี้ผมเชื่อว่าคุณรู้รหัสมันแล้วนะ"

แต่เดิมก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังมีคนช่วยจ่ายเงินอีก แล้วเรื่องอะไรที่จะไม่เอาล่ะ?

"ได้ค่ะ รบกวนรอสักครู่นะคะ"

พนักงานรีบรับบัตรเครดิตมาแล้วนำไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์

สุดท้ายแล้วหยุนเหมิงหยานก็ไม่ได้ใช้เงินของเซวฟู่ยี่ เมื่อเจอกับเรื่องนี้ สาวทั้งสองก็ล้มเลิกความคิดที่จะเดินเที่ยวต่อ จากนั้นตรงขึ้นไปชั้นบนสุดและเข้าไปทานมื้อค่ำในร้านอาหารตะวันตกร้านหนึ่ง

ซึ่งการตกแต่งของร้านอาหารทางตะวันตกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก ทั้งร้านปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์สีเขียนที่ทำจากพลาสติก โต๊ะและเก้าอี้ต่างก็เป็นวัตถุดิบจากไม้ที่สวยงาม ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ และทำให้คนรู้สึกสบายใจทันทีที่เข้ามา

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ร้านอาหารทางตะวันตกนี้จึงมีคนเยอะเป็นพิเศษ และทั้งสี่คนก็หาโต๊ะที่ติดกับหน้าต่าง

"พี่ชายคุณเป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นไรใช่ไหม?"

เมื่อสั่งอาหารเสร็จ เย่เทียนก็ถามเซวฟู่ยี่

"แกไม่น่าเป็นไรหรอกครับ พ่อผมแค่จู้จี้จุกจิกไปหน่อย คงต้องใช้เวลาสามถึงห้าชั่วโมงกว่าจะยอมปล่อยเขา"

เซวฟู่ยี่ส่ายหัวไปมาและพูดตรงๆ "ผมแค่สงสารพี่ชายผม ทั้งๆ ที่ตัวใหญ่เท่าควาย แต่กลัวจนถึงขั้นไม่กล้าหายใจเสียงดังต่อหน้าพ่อผม……"

“ไอ้อ้วน ดูนายช่างกล้าพูดจริงๆ เลยนะ!"

ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค หยุนเหมิงหยานก็หัวเราะขึ้นมา "นินทาพี่ชายต่อหน้าฉันแบบนี้ ไม่กลัวกลับไปแล้วได้เรื่องเหรอ?"

"อย่า อย่า อย่า! พี่เหมิงหยาน ผมผิดไปแล้ว ปล่อยผมไปเถอะนะ!"

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาก็คือนายน้อยคนที่สองของตระกูลเซว ดังนั้นเขาจะทำตัวเย่อหยิ่งยังไงก็ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนเหมิงหยานผู้ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของเขาในอนาคต เขาจึงต้องกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดังต่อหน้า!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่