เฉินเสียนเอ่ยอย่างโกรธๆ “แล้วข้าจะเอาชนะท่านได้อย่างไรล่ะ”
“ท่านลองขัดกระบวนท่าดูสิ”
ทว่าเธอรู้กระบวนท่าอะไรที่ไหนกัน เฉินเสียนไม่รู้อะไรเลย จนถึงบัดนี้การเคลื่อนไหวของเธอล้วนเป็นปฏิกิริยาอันคุ้นเคยที่ร่างกายแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ตอนนี้ถ้าจะให้ขัดกระบวนท่า เธอก็ทำไม่ได้อยู่ดี
ซูเจ๋อเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้านำเอง”
เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนจากฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุกและเริ่มโจมตีเฉินเสียน
ทุกครั้งที่โจมตี เขาจะบอกตำแหน่งให้เฉินเสียนทราบเพื่อที่เธอจะได้รับมือกับมันได้
ตอนแรกเฉินเสียนเสียแรงไปมากกับการรับมือการโจมตีที่เหลือกำลังรับ แต่เธอก็ปรับตัวได้ดีมากและในไม่ช้าก็ตั้งตัวได้ เธอค่อยๆ เลิกพึ่งพาการเตือนของซูเจ๋อแล้วอาศัยความว่องไวเฉียบแหลมสังเกตว่าซูเจ๋อจะโจมตีมาตรงไหน
การเคลื่อนไหวของซูเจ๋ออาจดูสะเปะสะปะ แต่ความจริงแล้วเขามีรูปแบบของเขา เพื่อจะป้องกัน เฉินเสียนมองการโจมตีนั้นออกแล้ว และท่ามกลางความสะเปะสะปะนั้นกลับทำให้เธอสังเกตเห็นกฎอันอิสระได้อย่างง่ายดาย
เฉินเสียนทั้งรู้สึกสดชื่นและประหลาดใจ ร่างกายระเบิดพลังออกมาอย่างฉับพลัน ยิ่งต่อสู้นานขึ้นเธอก็ยิ่งไม่เกรงกลัวสิ่งใดเฉกเช่นเมื่อยามเช้า
คงเป็นเพราะว่าเธออยากจะจับตัวซูเจ๋อให้ได้เหลือเกินและอยากจะโจมตีเขาสักหมัดสองหมัด
ยิ่งซูเจ๋อเห็นแบบนี้ก็ยิ่งปล่อยให้เธอทำสำเร็จไม่ได้ เขายกมุมปากเล็กน้อย มือของเขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ส่งผลให้เฉินเสียนต้องถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง
เฉินเสียนพยายามโต้กลับ แต่กลับถูกซูเจ๋อแก้การโจมตีได้อย่างง่ายดาย
เฉินเสียนตระหนักได้ว่าช่องว่างระหว่างเธอกับซูเจ๋อนั้นมีมากกว่านั้น และมันต่างกันมากจริงๆ!
ต่อให้เธอพยายามอย่างสุดกำลังก็ยังเอาชนะซูเจ๋อไม่ได้อยู่ดี เป็นไปได้เช่นกันว่าอาจจะถูกซูเจ๋อทุบตีจนไม่เหลือเค้าเดิม เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าซูเจ๋อยังมีความเมตตาและไม่โจมตีเธอแรงนัก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เฉินเสียนก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เฉินเสียนไม่ทันระวังด้านหลังเลยแม้แต่น้อย เธอเอาแต่ถอยร่นไป กว่าจะรู้ตัวก็ถอยไปจนถึงเนินลาดเอียงเสียแล้ว
ซูเจ๋อกำลังจะออกปากเตือน แต่ไหนเลยจะคิดว่าเธอจะก้าวถอยหลังไปก่อน
เฉินเสียนตกใจทันทีที่ก้าวเท้าลงไปในความว่างเปล่า เธอพบว่าตัวเองกำลังหงายหลังลงไปอย่างเสียการควบคุม
ในตอนนั้นซูเจ๋อเอื้อมมือออกไปคว้าเธอไว้
ทันทีที่คว้ามือซูเจ๋อไว้ได้ เธอก็ดึงซูเจ๋อจนตกลงไปด้วยกัน
สิ่งที่เรียกว่าความตายเหมือนจะต้องการหาผู้ร่วมทาง
ซูเจ๋อตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงไปและคว้าเฉินเสียนเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วตัวเขาเองก็กลิ้งลงไปตามเนินลาดเอียงพร้อมกับเธอ
เนินแห่งนี้ลาดยาวและพวกเขาก็หอบเอาใบไม้แห้งติดตัวไปตลอดทาง
เฉินเสียนเวียนหัวราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะ
ซูเจ๋อใช้มือป้องศีรษะของเธอไว้และกดเข้ามาไว้แนบอก ทั่วทั้งภูเขาเงียบสงัดและเต็มไปด้วยความสดชื่น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับกลิ่นหอมจางๆ ของไม้กฤษณาในอ้อมกอดของเขา
ในที่สุดการหมุนเคว้งอย่างปั่นป่วนก็หยุดลง
เนื้อตัวของทั้งคู่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นและอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้กันทั้งคู่
พวกเขากลิ้งลงมาจนถึงด้านล่างสุดของเนินลาด
ซูเจ๋ออยู่ด้านล่าง เฉินเสียนอยู่ด้านบน
ซูเจ๋อถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่เฉินเสียนที่ทับอยู่บนร่างของเขากลับไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นเวลานาน เขายกมือขึ้นหยิบเศษใบไม้ที่ติดอยู่บนผมของเธอออก ไม่รู้ว่าผ้าผูกผมที่มัดผมไว้หลุดหายไปไหนแล้ว เส้นผมสีดำสลวยจึงแผ่สยายราวกับสายน้ำ
เขานอนราบอยู่กับพื้นและมองผ่านต้นไม้ใบหญ้าขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามสดใส ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าท้องฟ้าช่างกว้างใหญ่และสวยงามเหลือเกิน
ใบไม้ทุกใบในป่าที่ร่วงลงมา ทุกอณูของความเงียบ รวมถึงคนที่อยู่บนตัวเขา ทุกอย่างล้วนทำให้เขารู้สึกสะเทือนอารมณ์
ซูเจ๋อพูดขึ้นมาว่า “โชคดีที่ข้าไม่ใช่ศัตรูของท่าน หากเป็นศัตรู ข้าคงไม่ยอมกลิ้งลงมาพร้อมกับท่าน”
เฉินเสียนส่งเสียงอู้อี้อยู่ในอ้อมกอดของเขา
ซูเจ๋อเลิกคิ้วและถามว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ถึงจะเป็นศัตรู แต่ก็มีช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายที่เผยให้เห็นช่องโหว่เสมอ”
ซูเจ๋อเป็นเหมือนปลาที่อยู่บนเขียง เขายังคงยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่ามองและกล่าวว่า “อาเสียน ครั้งนี้ท่านชนะ ข้าจะยอมให้ท่านโจมตีสองสามทีโดยที่ข้าจะไม่ตอบโต้”
เฉินเสียนเหลือบมองไปทั่วร่างของซูเจ๋อแล้วถามว่า “ควรจะเริ่มจากตรงไหนดีนะ”
ครั้นแล้วเธอก็พบว่าที่ไหนก็ไม่เหมาะจะลงมือทั้งนั้น จะเริ่มที่หน้า ใบหน้านี้ก็ดูดีเกินไปจนทำไม่ลง
ขณะที่เธอกำลังลังเลอยู่นั้น อยู่ๆ ซูเจ๋อก็คว้าข้อมือข้างที่เธอถือกริชเอาไว้และกดลงไปด้านข้าง
เฉินเสียนถลึงตามองเขา “ท่านโกงอีกแล้ว!”
ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ “ศึกไม่หน่ายเล่ห์... การหลอกลวงคือส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในสนามรบ”
ขณะที่เฉินเสียนกำลังออกแรงดึงกลับ อยู่ๆ เธอก็ชะงักและตัวแข็งทื่ออยู่บนตัวของซูเจ๋อ
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงความอุ่นชื้นที่ไหลล้นออกมาจากหน้าอกซึ่งทะลักออกมาราวกับลาวาที่ปะทุออกมาจากภูเขาไฟ
เฉินเสียนมองซูเจ๋อด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ เธอไม่มีประสบการณ์โดยสิ้นเชิง
ในขณะที่ซูเจ๋อพูดอย่างสบายๆ ว่า “อาเสียน ท่านเปียก”
เฉินเสียนก้มลงมองหน้าอกของตนเองและพบว่ามีรอยเปียกซึมออกมาบนเสื้อของเธอ มันอยู่ตรงยอดอกของเธอพอดีและค่อยๆ แผ่ขยายออกมาเรื่อยๆ
“เปียกทำบ้าอะไรเนี่ย” เฉินเสียนหลับตาลง แทบอยากจะเป็นลมตายไปเสียเดี๋ยวนี้เลย
ทันทีที่ลุกออกจากตัวของซูเจ๋อเฉินเสียนก็หันหลังหนี เธอแตะบริเวณรอยเปียกชื้นบนเสื้อและพบว่ามันเหนียวเล็กน้อยทั้งยังมีกลิ่นนม เธอรู้สึกว่านี่มันน่าอายยิ่งกว่าประจำเดือนเล็ดเสียอีก!
นึกไม่ถึงว่าน้ำนมของเธอจะไหลจริง... แถมยังต่อหน้าซูเจ๋ออีกด้วย!
ซูเจ๋อมองเธอที่หันหลังให้เขาอย่างลุกลี้ลุกลน เขาลุกขึ้นปัดใบไม้ออกจากตัวและกล่าวว่า “ในฐานะแม่ ทั้งหมดนี่ถือเป็นเรื่องปกติ อืม... แม้ว่ามันจะน่าอายนิดหน่อยแต่ข้าก็รับได้”
ไหลเมื่อไหร่ไม่ไหลดันมาไหลวันนี้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...