ว่าแล้วก็หันไปมองซูเจ๋อ ทันใดนั้นเปลือกตาของเฉินเสียนก็กระตุก จากนั้นเธอจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ซูเจ๋อ ท่านยิ้มอะไรของท่าน เห็นแล้วชวนขนลุกนัก”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “เช่นนี้ไหม หลังจากกลับไปท่านอาจจะต้องลองดู ถ้าฉินหรูเหลียงมาขวางท่าน ท่านลองหยิบยกชื่อของหลิ่วเชียนเสวี่ยขึ้นมา ข้าเดาว่าเขาคงจะไม่กล้าทำอะไรท่าน”
“ทำไมฉลาดขนาดนี้”
ซูเจ๋อพยักหน้า “ก็ฉลาดเช่นนี้ละ”
ไม่นานโอกาสนั้นก็มาถึง
เฉินเสียนไม่คิดว่าทันทีที่ก้าวเข้าประตูไป เธอจะพบกับฉินหรูเหลียงที่กำลังตรงออกมาพอดี
ฉินหรูเหลียงเหลือบมองเธออย่างเคร่งขรึมและถามว่า “เมื่อคืนท่านไปไหนมา”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ไปหาเศษหาเลยข้างนอก”
“หาเศษหาเลยอะไร ข้างนอกไหน” ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้วมุ่นและเข้ามาขวางเฉินเสียนไว้
เขารู้อยู่แก่ใจว่าเฉินเสียนไม่ได้เป็นของเขา แต่เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนเองไม่ได้ใจกว้างอย่างที่คิดและไม่มีทางเพิกเฉยได้
เขาเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้
เมื่อได้สติ ฉินหรูเหลียงก็คว้าแขนเธอไว้
เฉินเสียนไม่โกรธและไม่แม้แต่จะหันไปมองเขา เธอเพียงแค่กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพฉินรู้หรือไม่ว่าเหมยอู่คือหลิ่วเชียนเสวี่ย”
สีหน้าของฉินหรูเหลียงเปลี่ยนไปขนาดหนัก “ใครบอกท่าน”
เฉินเสียนหรี่ตา เธอพบว่าปฏิกิริยาของเขาช่างน่าสนใจมากจริงๆ เธอยิ้มอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า “ถ้าไม่อยากให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ก็เอามือสกปรกของท่านออกไปซะ”
ฉินหรูเหลียงปล่อยมืออย่างไม่อยากจะเชื่อ
ระหว่างทางกลับไปที่สวนสระวสันตฤดู เฉินเสียนยังคงคิดเรื่องนี้อยู่ ดูเหมือนเธอจะต้องตรวจสอบจริงๆ เสียแล้วว่าหลิ่วเชียนเสวี่ยเป็นใครกันแน่
ในสวนสระวสันตฤดู แม่นมซุยกับอวี้เยี่ยนกำลังพาเจ้าน่องน้อยเข้านอนอย่างคนมือไม้อ่อน
เมื่อหันไปเห็นว่าเฉินเสียนกลับมาแล้ว อวี้เยี่ยนก็รีบวิ่งไปหาทันทีพลางถามว่า “เมื่อคืนองค์หญิงเสด็จไหนมาเพคะ บ่าวเป็นห่วงแทบเป็นแทบตาย!"
ยังไม่ทันที่เฉินเสียนจะตอบ อวี้เยี่ยนก็ถามขึ้นมาอีกด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด “ใต้เท้าซูสร้างปัญหาให้องค์หญิงหรือเปล่าเพคะ เมื่อคืนองค์หญิงทรงไปพักอยู่ที่ไหน ใต้เท้าซูไม่ยอมให้องค์หญิงกลับมาใช่ไหม แล้วองค์หญิงล่ะเพคะ องค์หญิงกับเขาไม่ได้... มีอะไรใช่ไหม”
เฉินเสียนยังตื่นไม่เต็มที่ เธอตบไหล่อวี้เยี่ยนและบอกว่า “จะมีอะไรได้อย่างไร ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าเมื่อมีเงินจึงจะค่อยพาเขามาเลี้ยงดู”
อวี้เยี่ยนฟังแล้วแทบจะทรุดลงกับพื้น “ไม่ได้เด็ดขาดเพคะองค์หญิง! เขา เขา... องค์หญิงคุมเขาไม่ได้หรอกเพคะ!"
เฉินเสียนหาวออกมาทีหนึ่งและหันกลับมามองนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคุมเขาไม่ได้”
อวี้เยี่ยนกลอกตาไปมาอย่างลนลาน นางเอ่ยอย่างกังวลว่า “บ่าวรู้สึกได้ องค์หญิงทรงรักษาระยะห่างกับเขาไว้จะดีกว่าเพคะ... คนใจกว้างอย่างคุณชายเหลียนยังจะเหมาะกับองค์หญิงเสียกว่า”
เฉินเสียนหยอกนางอย่างขบขันว่า “ถ้าข้าเกิดตกหลุมรักคนแบบซูเจ๋อขึ้นมาล่ะ”
อวี้เยี่ยนกำหมัดสีชมพูแน่น เอ่ยอย่างกระวนกระวายใจว่า “บ่าวก็จะหว่านล้อมองค์หญิงไม่ให้คิดเช่นนั้นน่ะสิเพคะ!"
แม่นมซุยออกมาได้ถูกจังหวะและกล่าวว่า “เอาละๆ อวี้เยี่ยน องค์หญิงคงจะเหนื่อยมากแล้ว เจ้ารีบไปเตรียมน้ำร้อนให้องค์หญิงสรงน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์จะดีกว่า”
อวี้เยี่ยนสังเกตเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของเฉินเสียนเช่นกัน ดังนั้นนางจึงอดทนและไม่พูดอะไรอีก จากนั้นจึงรีบไปเตรียมน้ำร้อนไว้ให้เฉินเสียน
หลังจากนั้นไม่นานเฉินเสียนก็ลงไปแช่ตัวอยู่ในน้ำและถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
เธอถูแขนถูขาของตนเองในขณะที่อวี้เยี่ยนหมอบอยู่ข้างๆ ถังอาบน้ำเพื่อเช็ดตัวให้ แววตาของนางขุ่นเคืองเล็กน้อย
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้น เธอถอนหายใจก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อวานซูเจ๋อพาข้าไปบนภูเขา ไม่ได้ไปเดินชมใบไม้ร่วงหรือต้นเมเปิ้ลที่ไหนหรอก แต่พาข้าไปฝึกการต่อสู้ทั้งวันเลยต่างหาก อู๊ย... เมื่อวานยังไม่เป็นไร แต่วันนี้ระบมไปทั้งตัวเลย”
อวี้เยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาได้ นางเอ่ยอย่างรักใคร่และกระตือรือร้น “บ่าวนวดให้องค์หญิงเองนะเพคะ องค์หญิงเจ็บปวดขนาดนี้ ใต้เท้าซูคงจะเข้มงวดและรุนแรงกับองค์หญิงมากแน่ๆ”
ทันทีที่เฉินเสียนออกมาข้างนอกเธอก็เห็นข้าวของถูกขนเข้ามาทีละกล่องๆ
ใบหน้าของเหลียนชิงโจวฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เขาก้าวเข้ามาในลานราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ และกล่าวว่า “ถ้าอวี้เยี่ยนไม่มาวันนี้ กระหม่อมก็ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมเยียนพอดี ทั้งหมดนี้เตรียมไว้สำหรับเจ้าน่องน้อยพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงทรงอย่าเกรงใจ”
เฉินเสียนเอ่ยว่า “คุณชายเหลียนช่างมีน้ำใจนัก เอ้อร์เหนียง แม่นมจ้าว นำของไปเก็บที อวี้เยี่ยน ไปจัดชามาด้วย”
พูดจบเธอก็เดินกลับเข้าไปในเรือน จากนั้นจึงพูดกับเหลียนชิงโจวว่า “เข้ามาคุยกันข้างในสิ”
“ไม่รู้ว่าองค์หญิงมีเหตุอันใดจึงเรียกหากระหม่อม”
เฉินเสียนเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เธอกล่าวว่า “ข้ากับเจ้าไม่ได้เจอกันเลยนับตั้งแต่คืนเทศกาลไหว้พระจันทร์คราวก่อน จิ้งจอกเหลียน เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก คืนนั้นเจ้าปรากฏตัวได้ทันเวลา ทั้งยังหายไปได้ทันเวลาพอๆ กัน”
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “องค์หญิงกล่าวอะไรเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ คืนนั้นเมื่อองค์หญิงหายไป กระหม่อมเองก็กังวลมาก โชคดีที่องค์หญิงปลอดภัย ไม่เช่นนั้นกระหม่อมคงไม่มีทางยกโทษให้ตัวเอง”
“แท้จริงแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร เจ้ากับข้าพึงรู้อยู่แก่ใจ” เฉินเสียนกล่าว “ของเหล่านั้น ความจริงแล้วใครเป็นคนส่งมากันแน่”
เหลียนชิงโจวยังคงยิ้ม “ในเมื่อองค์หญิงทรงทราบ เหตุใดจึงยังถามกระหม่อมอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว
เธอละเรื่องคราวนี้ไว้ก่อนและเอ่ยว่า “วันนี้เชิญเจ้ามาเพราะอยากจะถามเรื่องของใครคนหนึ่ง”
“ใครหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หลิ่วเชียนเสวี่ย” เฉินเสียนเอ่ยเรียบๆ “จนถึงบัดนี้ข้ายังจำเรื่องในอดีตได้เพียงเลือนราง ข้ารู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้มากจริงๆ แต่ตามหลักแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงที่ฉินหรูเหลียงพากลับมาจากชายแดน ข้าไม่ควรจะรู้สึกคุ้นชื่อของนางมากขนาดนี้”
อวี้เยี่ยนยกชามาให้พอดีในเวลานั้น เฉินเสียนหยิบฝาชาขึ้นมาและค่อยๆ ช้อนฟองออก เธอเอ่ยว่า “แต่เส้นสายของข้ามีจำกัด หากอยากจะสืบหาอดีตของใครสักคนข้าต้องพึ่งพาสหาย เจ้าไปช่วยข้าสืบข่าวได้ไหม หากจำเป็นจะต้องซื้อข่าวก็จงกลับมาใส่ไว้ในบัญชีของข้า”
เหลียนชิงโจวยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องไปถามคนนอกหรอกพ่ะย่ะค่ะ แม้กระหม่อมจะไม่รู้ชัด แต่ทรงอย่าลืม ก่อนหน้านี้บิดาของกระหม่อมก็เป็นขุนนางรับราชการอยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...