เฉินเสียนเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “สวัสดิการของข้าพิเศษเกินไปแล้ว”
ซูเจ๋อนำอาหารเข้าไปให้เฉินเสียนในห้องและกล่าวว่า “ท่านคือองค์หญิง เดิมทีควรได้รับการดูแลอยู่ท่ามกลางความหรูหราและมีเกียรติ แต่ตอนนี้ท่านมีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับทหารและประชาชน ต้องลำบากและอดทน เสวยผักป่านิดหน่อยก็ไม่ได้นับว่าพิเศษอะไร”
เฉินเสียนนั่งลงที่โต๊ะ เมื่อช่วงกลางวันเธอไม่ได้สนใจกินอะไรเลย ตอนนี้เมื่อเห็นอาหารอยู่ตรงหน้าจึงเริ่มหิวขึ้นมานิดหน่อย
ซูเจ๋อยื่นตะเกียบให้เธอ เธออยากจะลองชิมเต็มที พอชิมแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาและถามว่า “ใครทำผักป่านี่หรือ”
“เฮ่อโยวเป็นคนล้างผัก แม่ทัพฉินก่อไฟ ส่วนการทำอาหาร” ซูเจ๋อถามกลับเบาๆ ว่า “ข้าทำไม่อร่อยหรือ”
เฉินเสียนประหลาดใจมาก “ท่านหมายความว่าพวกเขาช่วยเป็นลูกมือให้ท่าน และท่านเป็นคนทำอาหารจานนี้งั้นหรือ”
ซูเจ๋อยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าทำอาหาร ข้าไม่มีประสบการณ์ ถ้าไม่อร่อยก็โปรดอภัยด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเจ๋อทำอาหารให้เธองั้นหรือ
เฉินเสียนมองผักป่าในจานและพยักหน้า กล่าวว่า “อร่อย อร่อยมาก”
ไม่ใช่แค่ว่าเป็นการทำอาหารครั้งแรกของซูเจ๋อ คิดๆ ไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฮ่อโยวออกไปขุดผักป่าและนำมาล้าง และก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฉินหรูเหลียงนั่งอยู่หน้าเตาเพื่อก่อไฟทำอาหาร
เธอจะยอมละทิ้งน้ำใจเหล่านี้ไปเฉยๆ ได้อย่างไร
เฉินเสียนกินด้วยความเอร็ดอร่อย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าซูเจ๋อกำลังมองเธออยู่ เธอจึงเอ่ยช้าๆ ว่า “ข้ากินอยู่คนเดียวเลย ท่านอยากลองชิมไหม”
ซูเจ๋อถามว่า “ข้าทำอร่อยมากเลยหรือ”
เฉินเสียนพยักหน้า “อร่อยมาก”
ซูเจ๋อไม่ค่อยเชื่อ ดังนั้นจึงหยิบตะเกียบจากมือเธอแล้วชิมหนึ่งคำ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่มีรสชาติ ข้าคงเติมเกลือน้อยไป”
เฉินเสียนหรี่ตาและยิ้ม จากนั้นจึงพูดว่า “รสชาติอ่อนลงหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ลิ้มรสความสดดั้งเดิม ข้าไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะแบ่งงานทำอาหารกันได้ชัดเจนแบบนี้”
“ช่วงนี้ท่านลำบากมาก พวกเขาทุกคนคอยเฝ้ามองอยู่” ซูเจ๋อยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่ข้างหูของเธออย่างแผ่วเบา
ท่าทีที่อ่อนโยนของเขาทำให้เฉินเสียนตกหลุมลงไปอีกครั้งและยากที่จะปีนขึ้นมา
เฉินเสียนกล่าวว่า “ทุกคนต่างก็ลำบาก”
“แต่ท่านไม่เหมือนกัน ท่านเป็นสตรี ท่านเป็นองค์หญิง เดิมทีแล้วทุกคนควรปกป้องท่าน” ซูเจ๋อกล่าว “แต่มีบางสิ่งที่เราทำแทนท่านไม่ได้ ท่านต้องทำด้วยตัวเอง และตอนนี้ท่านก็ทำได้ดีมาก ภายในใจของทหาร ประชาชน และผู้อพยพเหล่านั้น อำนาจบารมีของท่านตอนนี้มีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “นอกจากกองกำลังทหาร บนโลกนี้ยังมีอาวุธที่ทรงพลังอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือหัวใจของผู้คน ยิ่งรวบรวมหัวใจของผู้คนได้มากเท่าใด ในอนาคตท่านก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”
ทีแรกเฉินเสียนไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ซูเจ๋อคิดไว้เพื่อเธอ
เธอเพียงแต่รู้ว่ามีไข้รากสาดน้อยลุกลามในหมู่ทหารและประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องยา ถ้าเธอไม่ออกไปหายาแล้วใครจะออกไป
ยิ่งมีความชื้นและความหนาวเย็นจากสายฝนที่ตกลงมา เธอยิ่งต้องออกไปหาอาหารมาให้มากที่สุด เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องอดตายในเมืองที่ว่างเปล่าแห่งนี้
ในฐานะองค์หญิงจิ้งเสียน แม่ทัพโฮ้วกับทหารเหล่านี้อยู่รักษาการณ์ที่เมืองเสวียนมาตลอด เพื่อรอให้พวกเขากลับมาจากเย่เหลียงอย่างปลอดภัยก่อนจะถอยทัพออกมา
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เธอจะงอมืองอเท้ารอขอให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติอยู่ได้อย่างไร เธอจำเป็นจะต้องทำตนเป็นแบบอย่างจึงจะกระตุ้นให้ทุกคนกระตือรือร้นขึ้นมาได้
ทหารที่ติดเชื้อไข้รากสาดน้อยอุตส่าห์รอดชีวิตจากสงครามและฟื้นคืนชีวิตจากสมรภูมิแห่งความเป็นความตายมาได้ หากสุดท้ายต้องมาเจ็บป่วยและล้มตายในต่างถิ่นเช่นนี้ คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
เฉินเสียนจะไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาทหารทุกคนที่ป่วยเป็นไข้รากสาดน้อย นอกจากนี้เธอจะไม่ทิ้งประชาชนคนใดไว้ข้างหลัง
หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว ซูเจ๋อซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เฉินเสียนก็หยิบยาขี้ผึ้งออกมาและทาลงบนมือทั้งสองข้างของเธออย่างพิถีพิถัน
“บัญชาการให้ขึ้นเหนือ ยอมให้ประชาชนทนทุกข์กับความลำบากจากสงครามอีกครั้งเพื่อแผนต่อๆ ไป การชนะโดยไม่ต้องต่อสู้คือแผนที่ดีสุด
ข้าจึงอยากให้อาเสียนรวบรวมจิตใจของผู้คนตลอดทางตั้งแต่ทางใต้ไปขึ้นเหนือไปสู่เมืองหลวง ถึงแม้กองทัพใหญ่จากทางใต้จะขึ้นเหนือ ก็จะมีผู้คนที่ยินดีเปิดเมืองต้อนรับกองทัพเพื่อองค์หญิง และทำให้องค์หญิงชนะโดยที่ไม่ต้องสู้”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างตกใจว่า “แต่จะต้องมีอำนาจชื่อเสียงมากจึงจะทำเช่นนี้ได้”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ตอนนี้แม้แต่เทพพระเจ้าก็ยังช่วยองค์หญิง ตราบใดที่องค์หญิงช่วยผู้คนจากความอดอยากและน้ำท่วมได้ อำนาจและชื่อเสียงย่อมต้องเพิ่มขึ้น”
เฉินเสียนทายาจนครบสิบนิ้ว เธอนอนอยู่บนเตียงและฟังเสียงเสียงดังเปาะแปะของสายฝนด้านนอก เธอไม่ง่วงเลยจนนิดเดียว
ซูเจ๋อเก็บจานชามและตะเกียบออกไปแล้ว
ขณะนั้นเขายืนอยู่นอกประตู แสงไฟสลัวบนทางเดินหวิวไหวตามแรงลม ทำให้เงาของเขายิ่งดูเยียบเย็นและมืดมน
เขาเดินเลียบไปตามม่านน้ำที่หยดลงมาจากชายคา เงยหน้ามองความมืดมิดยามค่ำคืนด้วยดวงตาที่ดำขลับไม่ต่างจากสีของท้องฟ้า
ตกลงมาเถอะ ฝนยิ่งตกต่อเนื่องไปแบบนี้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ได้แต่หวังว่าภัยธรรมชาตินี้จะทำให้เธอมีชื่อเสียงไปอีกนับพันๆ ปี
เมื่ออาการของทหารและประชาชนดีขึ้นบ้างแล้วก็ไม่ควรล่าช้าอยู่อีก แม่ทัพโฮ้วพากองกำลังและประชาชนเดินหน้าไปยังเมืองถัดไปอีกครั้งรวมกำลังพล
เมืองถัดไปคือเมืองอวิ๋น หลังจากที่ต้าฉู่แพ้สงครามและต้องเสียคูเมืองไปสามเมือง ต่อจากนี้เมืองอวิ๋นจะกลายเป็นเส้นแบ่งพรมแดนแห่งใหม่ระหว่างต้าฉู่กับเย่เหลียง
ตอนนี้กองกำลังของต้าฉู่ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองอวิ๋นและจัดวางกองกำลังป้องกันอย่างแน่นหนา
เดิมทีคิดว่าเมื่อมารวมตัวกับกองทัพใหญ่ก็จะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก
แต่เนื่องจากผู้ประสบภัยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ฤดูน้ำหลากคราวนี้จึงมีโอกาสที่จะสั่งสมจนกลายเป็นหายนะ ไม่มีใครกล้าประมาทเลยสักคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...