เนื่องจากฝนตกหนัก ดินที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเมืองอวิ๋นจึงเริ่มร่วนและเกิดดินถล่มหลายครั้ง
ทั้งยังมีบางหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เนินลาดเกิดดินถล่มอย่างกะทันหันกลางดึก ดินโคลนไหลทะลักลงมามืดฟ้ามัวดินจนชาวบ้านทั้งหมดที่กำลังหลับใหลอยู่ในหมู่บ้านต่างถูกฝังทั้งเป็น
ระดับน้ำในแม่น้ำบริเวณใกล้เคียงเอ่อขึ้นสูง กระแสน้ำไหลเชี่ยวและน้ำก็กลายเป็นโคลนขุ่น
หมู่บ้านที่ถูกดินโคลนถล่มไม่ค่อยมีใครรอดชีวิต เฉินเสียนควรพักอยู่ในเมืองอวิ๋น
แต่เธอกลับอยากพาคนไปดูที่หมู่บ้าน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอาจจะมีคนรอดชีวิตแค่คนเดียว ต่อให้ที่รอดชีวิตเป็นเพียงแค่สุนัขหนึ่งตัวก็ไม่ควรเพิกเฉย
แม่ทัพโฮ้วเกลี้ยกล่อมเธอไม่สำเร็จ ซูเจ๋อเหลือบมองนิดหนึ่งและสวมเสื้อกันฝนให้เฉินเสียน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ถ้าองค์หญิงอยากเสด็จ ก็ปล่อยให้พระองค์เสด็จเถิด”
แน่นอนว่าแม่ทัพโฮ้วจะต้องส่งคนติดตามเฉินเสียนไปด้วย ซูเจ๋อจะตามไปกับเธอ และเฮ่อโยวก็ไม่ยอมอยู่ในเมืองเพียงคนเดียว
เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้กำลังจะออกเดินทาง ม้าพร้อม ทหารพร้อม
ฉินหรูเหลียงก็เดินตามมาข้างหลังและบอกกับเฉินเสียนอย่างจริงจังว่า “ข้าจะไปกับท่าน”
เฉินเสียนหันกลับไปมอง ทีท่าของเธอแฝงไปด้วยความหยิ่งทะนงจนที่ยากจะต้านทาน เธอมองฉินหรูเหลียงก่อนจะขมวดคิ้วและพูดว่า “บาดแผลยังไม่หายดี ท่านจะไปไหนได้? พักรักษาตัวก่อน ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
ฉินหรูเหลียงเม้มริมฝีปาก เขาเหลือบมองซูเจ๋อแล้วถามว่า “แล้วเหตุใดเขาจึงไปได้”
ซูเจ๋อพูดเรียบๆ อยู่ภายใต้สายฝนว่า “ข้ากระหม่อมซูไร้ความสามารถ หลายวันที่ผ่านมาข้าพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ จึงเป็นผลให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าแม่ทัพฉินเล็กน้อย”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ไหนเลยฉินหรูเหลียงจะเข้าใจ
ที่ไม่พาเขาไปด้วยเพราะพาไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเขาไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหา
เขามีนิสัยชอบกำหมัดเป็นประจำ แต่ตอนนี้สองมือนี้กลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย
ถ้าซูเจ๋อไม่ยอมรักษามือให้ เขาก็จะทำอะไรไม่ได้แบบนี้ตลอดไป!
ท้ายที่สุดฉินหรูเหลียงจึงทำได้เพียงมองพวกเขาขึ้นบนไปหลังมาและควบม้าออกไปจากเมือง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีดินโคลนถล่ม
ทางไปหมู่บ้านที่ถูกฝังกลบแห่งนั้นมีแม่น้ำขวางไว้หนึ่งสาย หากต้องการจะไป จำเป็นจะต้องข้ามแม่น้ำไปก่อน
แม้ว่าระดับน้ำในแม่น้ำจะสูงและเต็มไปด้วยโคลนเลน แต่แม่น้ำก็ยังไหลเชี่ยวอยู่มาก
แม่ทัพโฮ้วเป็นผู้ขี่ม้านำหน้าข้ามแม่น้ำไปก่อน
ม้าของเขาเป็นม้าแก่ซึ่งเคยร่วมทำสงครามฟาดฟันศัตรูกับเขามาแล้ว มันเต็มไปด้วยความเข้าใจและก้าวอย่างมั่นคง แต่ครู่เดียวน้ำในแม่น้ำก็ท่วมขาม้าไปแล้วครึ่งขา แม้จะก้าวอย่างมั่นคง แต่ขาก็ยังสั่นไหวอยู่บ้างเมื่อปะทะเข้ากับกระแสน้ำที่ทรงพลังที่ข้างใต้
หลังจากข้ามไปถึงฝั่งตรงข้าม แม่ทัพโฮ้วก็หันกลับมาและรอคนอื่นๆ
เฮ่อโยวกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ข้าไปก่อน ท่านเดินตามหลังข้ามานะเฉินเสียน ข้าจะเปิดทางให้”
ม้าของเฮ่อโยวค่อนข้างเชื่อง ดังนั้นเขาจึงคุมบังเหียนบังคับม้าให้ลงไปในแม่น้ำ
เฉินเสียนปาดเหงื่อแทนเขาเมื่อเห็นเขาเริ่มโอนเอน จากนั้นจึงบอกไปว่า “เฮ่อโยว ระวังนะ”
เฮ่อโยวนั่งตัวเกร็งและไม่กล้าผ่อนคลายเลยแม้แต่นิดเดียว เขากล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง”
เมื่อเห็นเฮ่อโยวข้ามไปแล้วครึ่งทาง เฉินเสียนจึงบังคับม้าตามลงไปในแม่น้ำ
เฮ่อโยวเพิ่งพูดจบไปไม่ทันไรและยังไม่ทันจะไปถึงฝั่งตรงข้าม อยู่ๆ ขาม้าของเขาก็พันเข้ากับอะไรบางอย่างใต้น้ำ ทันใดนั้นขาของม้าก็พับลงไป เฮ่อโยวไม่ทันตั้งตัว เขาพลิกตัวตกลงจากหลังม้าและตกลงไปในแม่น้ำ
“เฮ่อโยว!"
น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยว และเฮ่อโยวก็ถูกน้ำโคลนซัดไปข้างหน้าทันที
แม่ทัพโฮ้วยื่นมือออกมาจะดึงเขา ทว่าสายเกินไป เฮ่อโยวถูกพัดออกจากฝั่งไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และเข้าไปใกล้ใจกลางแม่น้ำมากขึ้น
เฉินเสียนที่เพิ่งลงมาในแม่น้ำ เมื่อเห็นเขาตะเกียกตะกายอยู่ในแม่น้ำ เธอก็กระโดดลงจากหลังม้าทันทีโดยไม่ลังเล
ซูเจ๋อที่อยู่ด้านหลังเหมือนจะเรียกหาเธอ แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว
เธอทนมองเฮ่อโยวถูกน้ำพัดพาหายไปจนจมน้ำตายไม่ได้!
หลังจากลงไปในน้ำเฉินเสียนไม่ต้องดิ้นรนใดๆ เธอพยายามทำให้ร่างกายพุ่งไปข้างหน้าโดยเร็วที่สุดและตามไปให้ทันเฮ่อโยว
เฮ่อโยวเป็นเหมือนกับเธอที่ได้แต่นิ่งอึ้งและไม่พูดอะไร
หลังจากขึ้นฝั่ง ซูเจ๋อก็ดึงเฉินเสียนหลบมาข้างๆ ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่แยแสสิ่งใดในสายตาของคนอื่น ตอนนี้ดูเหมือนจะซ่อนความห่วงใยไว้ไม่มิด คิ้วสวยๆ นั้นขมวดเข้าหากัน “บาดเจ็บหรือไม่”
เฉินเสียนส่ายศีรษะ รู้สึกว่าคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของซูเจ๋อเป็นเหมือนวิวทิวทัศน์อย่างหนึ่ง
ซูเจ๋อกล่าวว่า “อาเสียน คราวหลังอย่าหุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก”
“แต่เฮ่อโยวตกลงไปในแม่น้ำนะ ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”
“มีคนมากมายที่พร้อมจะกระโจนลงไปแทนท่าน เหตุใดจึงต้องทำเองด้วย”
เฮ่อโยวยืนอยู่กับแม่ทัพโฮ้ว เขาบิดน้ำโคลนออกจากเสื้อผ้าพลางหันมามองพวกเขา แต่เขาไม่ได้ยินรายละเอียดที่ทั้งสองคนคุยกัน
“มันไม่เหมือนกัน” เฉินเสียนมองเขาและกล่าวว่า “แม้จะรู้ว่ามีคนที่พร้อมจะกระโจนลงไปแทนข้า แต่ข้าก็อยากจะพยายามช่วยสหายของข้าเอง”
ซูเจ๋อยังคงเงียบ ได้แต่มองเธอโดยไม่ได้พูดอะไร
หลังจากนั้นทุกคนจึงพักผ่อนและเตรียมออกเดินทางต่อ ตอนนั้นเองซูเจ๋อก็กระซิบเบาๆ ว่า “บางครั้งข้าก็ไม่อยากให้ท่านใส่ใจหรือเมตตาผู้อื่นมากเกินไป ความรู้สึกเมื่อยิ่งทุ่มเทออกไปมาก ก็ยิ่งตัดใจได้ยากในอนาคต”
เฉินเสียนเอ่ยออกไปทันทีว่า “มีความรู้สึกใดที่ข้าจะต้องตัดใจงั้นหรือ”
ซูเจ๋อมองเธออย่างเคร่งขรึมและกล่าวว่า “ในภายภาคหน้า พวกเขาทั้งหมดจะกลายเป็นขุนนางของท่าน รวมถึงข้าด้วย มีเพียงขุนนางเท่านั้นที่จะตายเพื่อกษัตริย์ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนจะต้องสละชีพเพื่อขุนนาง”
เฉินเสียนใจหายวูบ
ตอนนั้นเอง เฮ่อโยวก็เดินเข้ามาถามว่า “เฉินเสียน ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เฉินเสียนส่ายหน้าอย่างใจลอย “ข้าไม่เป็นไร”
“เมื่อครู่ข้าไม่ทันระวัง จึงเกือบจะทำให้ท่านเป็นอันตรายไปด้วย” เฮ่อโยวเหลือบมองซูเจ๋อ ถึงแม้ว่าปกติเขาจะค่อนข้างอคติกับซูเจ๋อ แต่เขาก็รู้กาลเทศะดี ดังนั้นจึงเอ่ยอย่างตั้งใจจริงว่า
“เมื่อครู่นี้ต้องขอบคุณท่านบัณฑิตมากที่ช่วยเหลือได้ทันการ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...