แสงเปลวไฟในตะเกียงนั้นสั่นไหวไปมา จนในที่สุดก็ดับลง จากเดิมที่ถนนเส้นนี้นั้นมืดอยู่แล้วก็กลับยิ่งมืดเข้าไปอีก
แม่นมซุยนั้นรู้สึกได้ไวกว่าเฉินเสียน ตอนรอให้นางพูดออกมา เฉินเสียนก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีฝีเท้าก้าวเข้ามาด้านหลังอย่างนุ่มนวล
ทุกฝีก้าวที่ก้าวเดินราวกับเหยียบอยู่บนหัวใจของเธอ
สายลมที่พัดตะเกียงนั้นดูเหมือนว่าจะมาจากการพัดแขนเสื้อของเขา ผสมกับกลิ่นหอมนุ่มนวลของไม้กฤษณา
เฉินเสียนมองเห็นเรือนร่างเขาไม่ชัด แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ร่างกายที่แข็งเกรงของแม่นมซุยก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
เฉินเสียนพูดเสียงแหบขึ้นว่ามา “เอ้อร์เหนียง ใช่เขาหรือไม่?”เหมือนเป็นการถามแม่นมซุย แต่กลับเป็นเหมือนการถามตัวเองมากกว่า
แม่นมซุยไม่ได้ตอบกลับ
ชั่วเวลาขณะนั้น เสียงที่อบอุ่นของในใจก็กลับดังขึ้นที่ข้างหูของเฉินเสียน“เอ้อร์เหนียง เจ้ากลับพระตำหนักไท่เหอไปก่อน”
ใจของเฉินเสียนสั่นไหว เพียงแค่มืออบอุ่นยื่นเข้ามากุมมือของเธออย่างเงียบๆ ปลายนิ้วค่อยๆหมุนไปรอบๆแล้วจึงมาพัวพันกำนิ้วของเธอไว้อย่างแน่น
เป็นเขาจริงๆ
เดิมทีค่ำคืนนี้ เฉินเสียนไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เข้าใกล้ ได้ฟังเขาพูดแล้ว เพราะเมื่อครู่ตอนที่เธอเดินออกมาแล้วหันกลับไปมอง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา เธอจึงละทิ้งความพยายามไปแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าในพริบตาเดียวเขาจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเธอ
เวลานั้นการเต้นของหัวใจเธอก็ไหลรินมาอยู่บริเวณที่นิ้วมือ สัมผัสได้ถึงชีพจที่เต้นอย่างรุนแรง
แม่นมซุยตอบรับ แล้วหันหลังเดินกลับไป
เฉินเสียนพยายามจะดิ้นให้หลุด ซูเจ๋อก็กลับกุมมือให้แน่นไปอีก
เธอเป็นกังวล ใบหน้าและหูก็ร้อนราวกับถูกไฟไหม้อย่างนั้น เธอพูดขึ้นว่า “ท่านมาเช่นนี้ ถ้าถูกคนอื่นเห็นจะทำอย่างไร ท่านไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่”
ซูเจ๋อพูด “ถ้ากลัวคนอื่นเห็น ข้ากับท่านก็เดินให้ไวเท่านั้น”
ซูเจ๋อจูงมือเฉินเสียนเดินตรงเข้าไปในที่มืด เขาพาเธอเดินตรงผ่านไปตามแนวต้นอู๋ถง
เส้นทางนั้นเมื่อยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งเปลี่ยว แสงไฟและเสียงรบกวนต่างๆก็ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
ด้านหน้าคือโรงเรียนไท่ ช่วงเวลานี้ภายในโรงเรียนไท่นั้นมืดสนิท ตะเกียงของแต่ละคนก็ไม่มี
เวลาต่อมาบนถนนนั้นก็พบกับองครักษ์ที่กำลังเดินลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินมาจากฝั่งตรงข้าม ซูเจ๋อโอบกอดเอวของเฉินเสียนและดึงเธอเข้ามาด้านข้าง ทั้งสองหลบซ่อนอยู่ด้านหลังต้นอู๋ถงต้นใหญ่
เธอคิดว่าการหลบซ่อนเช่นนี้มันบ้าบิ่นกว่าการพบกันแบบซึ่งหน้าเสียอีก แต่ในเมื่อระหว่างทั้งสองมีคนใดคนหนึ่งก้าวเท้าออกไป อีกคนก็ไม่ลังเลที่จะก้าวเท้าตามออกไป
การได้เห็นหน้าเขา ได้เข้าใกล้เขา จะบ้าบิ่นแค่ไหนก็คุ้มค่า
หลังจากที่องครักษ์เดินลาดตระเวนผ่านไป ซูเจ๋อก็พาเฉินเสียนก้าวเดินเร็วขึ้น เมื่อเดินมาถึงที่ด้านหน้าโรงเรียนไท่ ผลักประตูแล้วเข้าไปอย่างราบรื่น
เมื่อเข้าไปในสำนักแล้ว จึงปิดประตู ภายในนั้นมืดสนิท เฉินเสียนถึงจะค่อยๆผ่อนลมหายใจที่ถูกเก็บกดไว้ออกมา
ด้านหลังของเฉินเสียนแนบชิดติดกับประตู กลิ่นอายของไม้กฤษณาอบอวนที่ด้านหน้า ซูเจ๋อค่อยๆโน้มตัวลงมาแล้วเว้นช่องว่างไว้ให้เธอ
หัวใจที่เต้นแรงไปทั่วทั้งร่างกายของเธอนั้นมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าขาทั้งสองข้างนั้นกำลังเหยียบอยู่บนนุ่น ที่ค่อนข้างนุ่มนวลราวกับฝันไป ลมหายใจที่ผันผวนไม่สามารถที่จะสงบลงได้อยู่เป็นเวลานาน
ถึงแม้ว่าเฉินเสียนจะสงบจิตใจมากแค่ไหน แต่เมื่อตรงหน้าของซูเจ๋อนั้น เธอไม่มีทางที่จะสงบจิตใจได้เลย
นานแค่ไหนที่ใจรอคอย นานแค่ไหนที่คิดถึง
“กังวลมากเลยรึ?”ซูเจ๋อขยับเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงที่เบา
ซูเจ๋อจึงจูบไปที่คิ้วและหางตาของเธอ เฉินเสียนเกี่ยวศรีษะของเขาไว้และเริ่มจู่โจมจูบไปที่ริมฝีปากของเขา
เฉินเสียนจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วเธอยืนแล้วใต้ต้นอู๋ถง เหลือบมองไปภายในสำนักที่สะอาดและสวยงามแห่งนี้ เขาใส่ชุดเครื่องแบบขุนนางเปร่งประกายเหมือนแสงดวงจันทร์
ต่อมาก็มาที่งานเลี้ยงพระราชวัง เธอถูกพามาที่โรงเรียนไท่และอยู่ภายใต้แสงไฟที่ว่างเปล่ากับเขา เวลานั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข กิริยาท่าทางก็ไม่ลดละ
และตอนนี้ก็ยังอยู่ในโรงเรียนไท่แห่งนี้
เขายังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบขุนนางของบัณฑิตอยู่ แต่กลับมาโอบกอดอย่างลุ่มหลงเธออยู่ในที่มืดอันเงียบสงบนี้
ซูเจ๋อจูบไปที่ข้างริมฝีปากแล้วเลื่อนไปที่บริเวณหู หายใจรดบริเวณลำคอของเธอ ทำให้เธอที่อยู่ในอ้อมกอดของเขานั้นรู้สึกสั่นเทา
เธอยื่นมือไปสัมผัสที่ใบหน้าของเขา นิ้วมือไล่ลงมาจากคิ้วแล้วไปที่จมูกของเขา วาดไปตามเค้าโคร่งของซูเจ๋อซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเอ่ยชื่อของเขาอย่างเบาๆว่า “ซูเจ๋อ”
ซูเจ๋อก้มศรีษะลงไปที่ซอกคอของเธอ ยกนิ้วขึ้นเบาๆแล้วค่อยๆถอดเสื้อคลุมและเสื้อข้างในออกเผยให้เห็นถึงบริเวณไหล่ของเธอ
ริมฝีปากของเขาเลื่อนต่ำลงมาบริเวณกระดูกไหปลาร้าของเธอ เหนือขึ้นมาจากบริเวณหัวใจ แล้วจูบลงไปอย่างดูดดื่ม
หัวใจของเฉินเสียนสัมผัสได้ถึงความร้อนอันแผดเผา กลิ่นอายความอบอุ่นไหลรินออกทางแขนเสื้อของเธอ ด้วยจิตใต้สำนึกของเธอทำให้เธอกอดศรีษะของซูเจ๋อไว้แน่น เส้นผมของเขาไหลผ่านบนนิ้วมือของเธอ แล้วเธอก็ร้องครางออกมาเบาๆ
ซูเจ๋อทิ้งรอยจูบไว้ที่ข้างกระดูกไหปลาร้าของเธอ ไม่รู้ว่าลึกมากแค่ไหน หัวใจของเธอก็เต้นรัวเร็วอย่างบ้าคลั่งและนานกว่าจะผ่อนลมหายใจออกมาได้
ซูเจ๋อพูดเสียงแหบเบาๆไปที่ข้างหูของเธอว่า “จูบตรงนี้คนอื่นจะมองไม่เห็น มีเพียงแค่ท่านที่รู้ อาเสียน ท่านเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว”
เมื่อเฉินเสียนได้ยินประโยคนี้จากเขา หัวใจก็เหมือนกับถูกระเบิดออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับเธอเช่นนี้ และเป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินจากปากผู้ชายประกาศว่าเธอเป็นของของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...