ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 635

แม่นางผู้นั้นจึงได้ตอบกลับไปอย่างละอายใจว่า : “เพราะหม่อมฉันรีบเพคะ หากกลับไปช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ประตูเมืองก็จะปิดแล้ว เช่นนี้ก็ไม่สามารถกลับไปได้เพคะ”

แม่นางผู้นี้คือคนเดียวกับคนที่เคยช่วยรักษาอาการป่วยของเฉินเสียนเมื่อนานมาแล้ว ท่านปู่ของนางเคยเป็นหมอหลวงรักษาพระองค์ในวังของราชวงศ์ก่อน ฝีมือการแพทย์ของเขานั้นไม่ธรรมดา ซูเจ๋อเองก็ได้เคารพนับถือเขาด้วย

เฉินเสียนยังคงรู้สึกขอบคุณปู่หลานสองคนนี้อยู่เสมอ คนหนึ่งเคยช่วยรักษาเธอ ส่วนอีกคนเคยช่วยรักษาซูเจ๋อ

ทหารรักษาพระองค์ที่คอยอารักขาเฉินเสียนล้วนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นท่าทีที่สนิทสนมและคุ้นเคยของเฉินเสียนกับแม่นางผู้นี้แล้ว ก็ได้แต่รีบเดินทางกลับวังหลวงอย่างระมัดระวังต่อ

แม่นางผู้นั้นที่ทำตัวไม่ค่อยถูก ไม่รู้จะพูดอะไรดี เฉินเสียนจึงถามขึ้นเบาๆ ว่า : “ให้ข้าส่งเจ้ากลับไปที่โรงยาเดิมหรือเปล่า?”

“เข้าเมืองแล้ว ฝ่าบาทปล่อยหม่อมฉันลงก็พอแล้วเพคะ หม่อมฉันกลับเองได้” นางจะไปกล้าบังอาจให้องค์จักรพรรดินีส่งนางกลับบ้านได้อย่างไรกัน หากท่านปู่ของนางรู้เรื่องเข้าล่ะก็ มีหวังจับนางมาตีตายแน่ๆ

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ” เธอเหลือบไปดูตะกร้ายาสมุนไพรของแม่นางผู้นี้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้พูดขึ้นต่อว่า : “ดูแล้ววันนี้เจ้าคงเก็บเกี่ยวได้เยอะไม่น้อย”

แม่นั้นผู้นี้ได้คุยกับเฉินเสียนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเฉกเช่นเมื่อก่อน นางไตร่ตรองทุกคำพูดก่อนจะพูดออกมาอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจบดบังนิสัยใจคอที่แท้จริงของนางได้ นางเป็นคนปากไวและใจซื่อ เมื่อแอบเหลือบมองไปยังซูเซี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยนั้น ก็ได้พูดขึ้นอย่างไม่ทันระวังว่า : “หน้าตาเหมือนใต้เท้าซูไม่มีผิด!”

เมื่อพูดออกไปแล้ว แม่นางผู้นั้นก็พึ่งรู้สึกว่าตัวนางเองได้พูดคำพูดที่ไม่ควรพูดออกมาจนได้ แต่เฉินเสียนไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ซูเซี่ยนเองก็ไม่ได้สนใจมากมาย

เมื่อถึงโรงยาแล้ว เฉินเสียนก็ได้เข้าไปทักทายกับท่านผู้อาวุโส ท่านผู้เฒ่าเองรู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมากที่เธอมาส่งหลานสาวของเขากลับมาอย่างปลอดภัยด้วยตัวเอง จึงได้เชื้อเชิญให้เธอเข้าไปนั่งพักในโรงยาก่อน

แม่นางรีบไปชงชายามค่ำด้วยความตื่นเต้นและดีอกดีใจ เฉินเสียนได้พาซูเซี่ยนเข้าไปนั่งในโรงยาด้วย

เฉินเสียนยังจำได้ ครั้งแรกที่เธอลืมตาขึ้นในมิตินี้ ก็ถูกรักษาตัวอยู่ในห้องของโรงยาแห่งนี้ เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้ง ลึกๆ ในใจก็ยังมีความรู้สึกเสียดายอยู่ไม่มากก็น้อย

ไม่เสียทีที่ขึ้นชื่อว่าโรงยา เพียงแค่ก้าวเข้าประตูมา ก็ได้กลิ่นหอมของยาสมุนไพรอบอวลไปทั่ว ในห้องมีหนังสือตำราอยู่มากมายวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เป็นหนังสือตำราที่เฉินเสียนไม่เคยเห็นในสำนักหมอหลวงมาก่อน

ท่านผู้เฒ่ามองซูเซี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้พูดขึ้นว่า : “องค์ชายใหญ่ขยับเข้ามาใกล้อีกได้หรือไม่ ขอให้กระหม่อมได้ตรวจดูหน่อย”

ซูเซี่ยนเดินเข้าไปใกล้ ท่านผู้เฒ่าได้จับชีพจรของเขา แล้วจึงได้ถามขึ้นว่า : “ผลข้างเคียงของยาแกล้งตายที่ทำร้ายร่างกาย รักษามาหลายปีคาดว่าคงจะหายดีแล้ว แต่เหตุใดร่างกายถึงยังอ่อนแอเช่นนี้ พึ่งป่วยรอบใหม่หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซูเซี่ยนพยักหน้าเบาๆ

เฉินเสียนก็ได้ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า : “ท่านผู้อาวุโสรู้เรื่องยาแกล้งตายด้วยหรือ?”

ท่านผู้เฒ่าจึงได้ตอบกลับไปว่า : “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไรเล่า ยานั่นเป็นยาที่กระหม่อมและใต้เท้าซูใช้เวลาหลายคืนวันในการศึกษาคิดค้นออกมา ใต้เท้าซูจำเป็นต้องใช้ยานั้นเพื่อช่วยชีวิตของเด็กน้อย กระหม่อมมิกล้าประมาทเลินเล่อพ่ะย่ะค่ะ”

“ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

จากนั้น ท่านผู้เฒ่าก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับวิธีการรักษาและยาที่ควรทานให้กับซูเซี่ยน เป็นแนวทางการรักษาที่สูงส่งและชัดเจนมากกว่าหมอหลวงในวังรวมถึงเฉินเสียนเป็นไหนๆ

เฉินเสียนอ่านสูตรวิธีการรักษาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้พูดขึ้นอย่างสุขุมว่า : “วิชาการแพทย์ของท่านผู้อาวุโสสูงส่งและล้ำลึก สุขภาพของท่านดีร่างกายก็ยังแข็งแรง ไม่ทราบว่าท่านยังอยากจะกลับไปเป็นหมอหลวงรักษาพระองค์อีกครั้งหรือไม่?”

ท่านผู้เฒ่าได้ปฏิเสธพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาของฝ่าบาท น่าเสียดายที่กระหม่อมชรามากแล้ว เกรงว่าจะไม่สามารถถวายงานได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”

จิบชาอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่เฉินเสียนเตรียมจะพาซูเซี่ยนจากไปนั้น เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงของท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “อัครเสนาบดีซู ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของกระหม่อม เขามีพรสวรรค์ที่สูงส่งและยังชาญฉลาดเหนือผู้อื่นใด”

ฉะนั้น หากอยากจะปกป้องดูแลคนข้างๆ ล้วนแต่จะต้องพึ่งความพยายามของตัวเองทั้งนั้น

เธอจะต้องถนอมทุกสิ่งทุกอย่างที่ซูเจ๋ออยากจะปกป้อง เธอจะทำให้ราชอาณาจักรต้าฉู่ รุ่งโรจน์ก้าวหน้า เธอและซูเซี่ยนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวัง หากว่ามันเป็นความตั้งใจของซูเจ๋อ

เฉินเสียนหันกลับไปมองท่านผู้เฒ่า ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดถึงซูเจ๋อ เธอเพียงพูดขึ้นว่า : “แม้จะบอกว่าท่านผู้อาวุโสจะอายุชรา สำหรับท่านผู้อาวุโสแล้วงานในสำนักหมอหลวงนั้นถือว่าหนักเกินไป แต่หมอหลวงในสำนักของข้า ไม่มีผู้ใดมีฝีมือความรู้เทียบเทียนกับท่านผู้อาวุโสเลย ข้าจึงอยากให้เวลาที่ท่านผู้อาวุโสว่างเว้นนั้น เข้าไปสอนและให้ความรู้เรื่องการแพทย์ให้แก่หมอหลวงในวังบ้าง”

ท่านผู้เฒ่านิ่งไปครู่หนึ่ง สิ่งที่น่าปลื้มใจที่สุดก็คือการที่ไม่ได้เห็นความเศร้าโศกใดๆ บนตัวเธอเลย

เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ทักษะการแพทย์ที่ข้าเคยได้ร่ำเรียนมา เมื่อเทียบกับท่านผู้อาวุโสแล้ว ก็ไม่นับประสาอะไรเลย ท่านผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ของเขา ข้าอยากที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เขาเคยร่ำเรียนมา” เธอมองไปยังหนังสือตำราการแพทย์ที่เรียงรายอยู่เต็มห้องนั่น : “ไม่เพียงแค่เท่านี้ ข้ายังอยากได้หนังสือเหล่านี้ด้วย”

ท่านผู้เฒ่าจึงได้พูดขึ้นว่า : “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หนังสือตำราเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่กระหม่อมศึกษามาชั่วชีวิต”

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “หากท่านผู้อาวุโสเมตตา ยินยอมที่จะสอน ข้าจะขอคัดสำเนาหนึ่งฉบับ”

เมื่อกลับวังหลวงแล้ว ในขณะที่อวี้เยี่ยนกำลังปรนนิบัติรับใช้เฉินเสียนอยู่นั้น ก็ได้สังเกตเห็นมีเลือดออกจากแผลที่กลางฝ่ามือของเธอ จึงรีบถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า : “ฝ่าบาททรงไปทำอย่างไร ถึงได้แป็นแผลเช่นนี้มาเพคะ?”

เฉินเสียนหันไปมองด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คงจะไปโดนอะไรบาดเข้ากระมัง ไม่ได้ระวัง อีกวันสองวันก็คงจะหาย”

วันถัดมาท่านผู้เฒ่าก็ยังไม่ยอมเข้ามาที่สำนักหมอหลวง แต่หลานสาวของเขาได้แอบเข้ามาแทน และได้นำหนังสือตำราการแพทย์มาให้เฉินเสียนหนึ่งเล่ม

ประสิทธิภาพการจัดการงานราชกิจที่เฉินเสียนดำเนินนั้นดีขึ้นมาเรื่อยๆ โดยปกติหลังจากที่ทานมื้อเที่ยงแล้ว ช่วงบ่ายเฉินเสียนก็มักจะมาอ่านตำราการแพทย์และทำการคัดสำเนา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี