หลานสาวของผู้เฒ่ามีนามว่าฝูหลิง ผู้เฒ่านั้นไม่ยินดีที่จะให้ฝูหลิงนั้นไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระราชวังโดยอย่างเด็ดขาด เพราะว่าถ้าฝูหลิงเข้าไปในพระราชวังแล้วนั้น ก็เกรงว่าเธอจะไม่ได้กลับออกมาอีก แต่เฉินเสียนก็อนุญาตให้เธอสามารถอยู่ในพระราชวังต่อได้ และยังสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาในตำราการแพทย์ได้อีกด้วย
ฝูหลิงเธอนั้นมีปณิธานแน่วแน่ที่ไม่ได้อยากเป็นหมอธรรมดาทั่วไป ครั้นแล้วก็ใช้ช่วงเวลาที่เฉินเสียนกำลังคัดลอกตำราการแพทย์อยู่ไปนั่งข้างๆเธอแล้วเอ่ยถามว่า“ฝ่าบาท ที่สำนักหมอหลวงขาดหมอหรือไม่เพคะ?”
เฉินเสียนวางพู่กันในมือลง แล้วเอ่ยถามว่า“เจ้าอยากเป็นหมอหลวงรึ?”
ฝูหลิงยืดอกขึ้นแล้วเอ่ยว่า“ฝ่าบาทคิดว่าหม่อมฉันจะเป็นได้หรือไม่เพคะ ?”
เฉินเสียนเงยหน้ามองไปที่เธอแล้วพูดขึ้นว่า“ปู่ของเจ้าก็ยังปฏิเสธข้า ถ้าเจ้าอยากเป็นหมอหลวง แล้วไม่กลัวจะโดนปู่ตีขาเจ้าหักรึ ?”
“ไม่กลัวเพคะ ถึงขาจะหักก็รับได้เพคะ?”
“ถ้าเกิดว่าเจ้ารู้สึกว่างจนสับสน ช่วงนี้เจ้าก็ไปอยู่ช่วยที่สำนักหมอหลวงชั่วคราว เริ่มจากการคอยส่งยาก่อนก็แล้วกัน ”
ฝูหลิงนั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
จากตำแหน่งการส่งยาจนได้เลื่อนเป็นตำแหน่งหมอหลวง ฝูหลิงเธอต้องใช้ความพยายามและทุ่มเทเป็นอย่างมากกว่าที่จะได้ตำแหน่งนี้มา แต่เมื่อปู่ของเธอรู้เรื่องเข้าก็โกรธจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด เขาคัดค้านไม่ให้เธอได้ก้าวเข้าวังมาโดยตลอด เพื่อเป็นการไปพาฝูหลิงกลับมา เขาจึงต้องกลับมายังสถานที่ที่ตัวเองเคยอยู่
เฉินเสียนออกไปต้อนรับผู้เฒ่าอย่างสุภาพน้อมน้อม
ผู้เฒ่าแสดงเจนตนารมณ์อย่างชัดเจนที่จะมารับฝูหลิงกลับไป
เวลานั้นเฉินนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้า เพิ่งจะคัดลอกตำราการแพทย์เสร็จไปหนึ่งเล่ม ค่อยๆวางพู่กันในมืออย่างช้าๆ เมื่อคิดพิจารณาดูแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า“ฝูหลิงนั้นเชี่ยวชาญในด้านการแพทย์อย่างมาก เธอเป็นหมอหลวงหญิงคนแรกของสำนักหมอหลวง แม้ว่าตำแหน่งหน้าที่การงานนั้นยังไม่สูงมากนักแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นขุนนางในราชสำนัก แล้วยังละทิ้งหน้าที่การงานไปเช่นนี้หรือ?”
ฝูหลิงพยักหน้าตาม ผู้เฒ่าแสดงสีหน้าไม่พอใจมองไปที่เธอ เธอจึงรับก้มหลบหน้าลงไปทันที
ผู้เฒ่ากล่าว“ข้ากระหม่อมขอวิงวอนฝ่าบาทปล่อยนางกลับไป คิดเสียว่านางยังเด็กไร้เดียงสาไม่รู้ความ นางยังไม่มีประสบการณ์อะไรมาก จะไปเป็นหมอหลวงได้อย่างใดกัน?”
เฉินเสียนนำตำราเล่มหนึ่งมาวางอยู่ด้านหน้า แล้วเอ่ยว่า “แต่ข้ากลับคิดว่านางเก่งมาก ข้าถึงได้ให้นางเป็นหมอหลวง ถ้าผู้อาวุโสจะพานางกลับไป ผู้อาวุโสนั้นก็เป็นคนที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน น่าจะรู้จักกฏของราชสำนักดีว่ามันใช่ของเด็กเล่นกัน แต่ข้าก็จะโปรดเมตตากรุณาเป็นพิเศษให้ผู้อาวุโสสามารถมาหาหลานสาวที่สำนักหมอหลวงได้ตลอดเวลา ”
ตอนที่เดินออกมาจากเฉินเสียนนั้นผู้เฒ่าเดินบ่นไปและดึงหูของฝูหลิงไปด้วยตลอดทาง
“ข้าบอกไม่ให้เจ้ามาแต่เจ้ายังจะมา เจ้าต้องการให้ปู่โกรธแค้นเจ้าจนตายหรืออย่างไร!”
“เป็นหมอหลวงมันไม่ดีตรงไหนกัน ข้าคิดว่ามันดีกว่าการที่อยู่แต่ในกระท่อมยาตั้งเยอะ”ฝูหลิงพูดออกมาอย่างเก็บกด
“ดีกับผีนะสิ!”ผู้เฒ่าถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า“จักรพรรดิอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิ ที่พระองค์ผูกมัดเจ้าไว้ที่นี่นั้นก็เพราะไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไม่มา เจ้ารู้หรือไม่ !คนในพระราชวังคือคนที่เจ้าสามารถทำให้เกิดความไม่พอใจได้ทั้งนั้น ต่อไปภายหน้าถ้าเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย นั่นหมายถึงชีวิตของเจ้าเอง!”
ฝูหลิงกล่าว“ฝ่าบาทเพียงแค่อยากจะเรียนวิชาการแพทย์ก็เท่านั้นเอง ทำไมท่านปู่ถึงไม่ยอมสอนพระองค์?”
“พระองค์คือจักรพรรดินิของอาณาจักร เรียนวิชาการแพทย์ไปเพื่อที่จะให้นางไปรักษาช่วยชีวิตผู้อื่นรึยังไง?พระองค์กับซูเจ๋อนั้นก็เหมือนกัน ไม่ยอมปล่อยวางความคิดที่ดื้อรั้นของตัวเองลง”
หลังจากที่ผู้เฒ่าพาฝูหลิงเดินออกไปแล้ว เฉินเสียนกับซูเซี่ยนที่กำลังนั่งอยู่ในพระตำหนักไท่เหอ และถือถ้วยชาอยู่ในมือ
ซูเซี่ยนถามขึ้นว่า“ท่านแม่ทำไมต้องไปเรียนการแพทย์กับผู้เฒ่าคนนั้นด้วย หรือว่าเรียกใช้หมอในสำนักหมอหลวงไม่ได้?”
เฉินเสียนกล่าว“เพราะว่าวิชาการแพทย์ของเขาเก่งกาจมาก มองแวบเดียวก็สามารถรู้แล้วว่าสุขภาพร่างกายของเจ้าไม่ดีตรงไหน?”เธอเงียบไปเป็นเวลานาน แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาว่า “ถ้าแม่สามารถมองออกว่าท่านพ่อของเจ้าสุขภาพร่างกายไม่ดีตั้งแต่แรก”
เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ยื่นมือไปลูบที่ศรีษะของซูเซี่ยนอย่างอ่อนโยน
ความจริงแล้ว ในราชสำนักนั้นมีเหล่าขุนนางจำนวนไม่น้อยที่มีอาการปวดเอว ต่างคนต่างก็พากันมาต่อแถวเพื่อรอการฝังเข็ม บรรกาศนั้นรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก
เพียงแต่ขุนนางที่มารักษาอาการปวดเอวนั้นส่วนใหญ่จะเป็นขุนนางที่มีอายุมากกันทั้งหมด เมื่อมีเหล่าขุนนางวัยหนุ่มเดินเข้ามาตรงหน้าของเฉินเสียนแล้วบอกว่าตัวเองนั้นมีอาการปวดเอว
เมื่อเฉินเสียนตรวจชีพจร แล้วมองดูสีหน้าและลิ้น จึงเอ่ยถามออกมาอย่างเบาๆว่า“รู้สึกว่าร่างกายนั้นถูกใช้จนหมดใช่หรือไม่?”
ขุนนางหนุ่มผู้นั้น “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ช่วงนี้ข้ากระหม่อมก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามีภรรยากี่เรือน?”
“สี่ สี่เรือนพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้ามีเพศสัมพันธ์จนเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป จนทำให้ระบบการทำการของไตไม่ดี นี่ไม่ใช่อาการเจ็บจากการทำงาน คงจะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักหมอหลวงข้า?”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา เหล่าขุนนางก็ต่างพากันหัวเราะ
หลังจากนั้นในทุกๆเดือน เฉินเสียนก็จะเข้าราชสำนักเพื่อตรวจโรคให้กับเหล่าขุนนางเป็นประจำ ถ้าเกิดไม่อยากเป็นตัวตลกของเพื่อนร่วมงาน ทางที่ดีนั้นก็คือควรควบคุมเอาไว้บ้าง และดีที่สุดคืออย่าได้เป็นโรคอะไรแอบแฝงเลย พวกเขาก็พบว่าจักรพรรดินีนั้นทรงสามารถพระปรีชาสามารถยิ่งขึ้นเรื่อยๆมองอาการได้อย่างชัดเจนยิ่ง แม้แต่อาการเล็กๆน้อยๆพระองค์ก็ทรงมองออก
ดังนั้นขุนนางทั้งหลายจำเป็นต้องขยันหมั่นเพียรทำงาน ถูกตรวจว่ากล้ามเนื้อเอวนั้นบาดเจ็บจากการทำงานยังดีกว่าตรวจเจอว่าเป็นอาการปวดเอวจากระบบการทำงานของไตไม่ดี แต่พวกเขาก็พบว่าไม่กี่เดือนมานี้ สุขภาพร่างกายของตัวเองนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
เมื่อเฉินเสียนได้ร่ำเรียนวิชาการแพทย์สำเร็จเรียบร้อย ก็ไม่ได้นำเหล่าขุนนางทั้งหลายนั้นมาเป็นคนไข้แล้ว แต่ทางราชสำนักของต้าฉู่ก็ได้จัดให้มีระเบียบปฏิบัติกันต่อมา ก็คือทุกๆเดือนจะมีการตรวจโรคให้หนึ่งครั้งโดยเหล่าหมอหลวงในสำนักหมอหลวงเป็นคนให้การรักษา
เมื่อวังหลังไม่มีเจ้านายอาศัยอยู่ สำนักหมอหลวงต่างก็ว่างจนแย่ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือได้ว่ามีงานให้ต้องทำอยู่ตลอด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...