ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 686

จากนั้นซูเจ๋อก็ได้เข้ามาจับมือของเฉินเสียน นิ้วมือที่เรียวยาวและขาวสะอาด เขากำลังจูงมือของเธออยู่ นิ้วมือของเขาและนิ้วมือของเธอประสานกันแนบแน่น

ในขณะที่ซูเจ๋อจูงมือของเธอเดินอยู่นั้น เฉินเสียนรู้สึกเหมือนการเต้นของหัวใจและชีพจรทั้งหมดกำลังพุ่งไปยังมือข้างที่จับกับมือของเขาอยู่ยังไงอย่างงั้น มันสะท้อนกลับมาเป็นพักๆ อย่างชัดเจน และก็ไม่อาจแบ่งแยกชัดเจนว่าเป็นของเธอหรือซูเจ๋อกันแน่

ระหว่างทาง มืออีกข้างหนึ่งของซูเจ๋อที่กำลังจับร่มอยู่ จู่ๆ มุมปากของเขาก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างมีเงื่อนงำ พร้อมพูดกับเธอว่า : “ใครบอกว่าคืนนี้ฝนจะตกกัน?”

เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “คืนนี้ลมแรง”

“ริมทะเล ลมค่อนข้างแรงเป็นธรรมดา” เขาใช้ร่มชี้ขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านดูสิ บนท้องฟ้ายังมีดวงดาว ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าออกจะแจ่มใส”

เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นว่าดวงดาวที่ซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆนั้นปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จุดประกายทอแสงทั่วผืนฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ที่นวลผ่องยองใย ส่องแสงสว่างไสวสวยงามไปทั่วทั้งผืนฟ้า สวยงามไร้ซึ่งที่ติ

เฉินเสียนหันหน้าไปมองเขา มองเห็นเค้าโครงใบหน้าที่เกลี้ยงเกลานวลผ่องดุจดวงจันทร์ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน บางทีก็เหมือนกับว่าไม่สามารถถอดถอนสายตาออกจากเขาได้เลย เธอพูดขึ้นว่า : “ท่านโดนลมได้หรือเปล่า? หรือจะหาที่หลบลมมานั่งคุยกันสักหน่อยก็ได้”

ซูเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหรี่ตาลงมองไปยังเธอ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จะหาที่หลบลมคงจะยากสักหน่อย ไปที่ห้องของข้าล่ะเป็นยังไง?”

เฉินเสียน : “……”

ซูเจ๋อกลัวว่าเธอจะขำเขา เขาจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น สภาพร่างกายปีนี้ของข้าดีขึ้นกว่าปีที่แล้วมาก ไม่อ่อนแอถึงขั้นโดนลมไม่ได้หรอก ท่านวางใจได้”

แน่นอนว่าเฉินเสียนรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดูจากสีหน้าและผิวพรรณของซูเจ๋อแล้ว ก็สามารถรู้ได้ว่าการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของเขานั้นดีขึ้นไม่น้อย สีหน้าของคนป่วยที่แสนจะอ่อนล้าของเมื่อปีที่แล้วได้หายไปอย่างปลิดทิ้ง

“ยังไม่ได้ทานมื้อค่ำ ข้าเองรู้สึกค่อนข้างหิว” เธอถามซูเจ๋อว่า : “แล้วท่านล่ะ?”

“ข้าเองก็รู้สึกหิวนิดหน่อย”

ซูเจ๋อหันหน้ามองไปยังชายหาดทางฝั่งทิศตะวันออก เห็นทางนั้นมีแสงไฟส่องสว่างรำไรท่ามกลางความมืดมิด เขาจึงพูดขึ้นว่า : “ไปริมหาดไหม? ค่ำคืนนี้ดูเหมือนว่ามีกิจกรรมรอบกองไฟ น่าจะครึกครื้นพอตัว”

เมืองชิงไห่มีการจัดกิจกรรมรอบกองไฟที่ริมหาดเดือนละหนึ่งครั้ง ผู้ที่จัดงานนี้ขึ้นมาล้วนเป็นชาวประมงที่อาศัยอยู่ริมทะเล จุดประสงค์ที่พวกเขาจัดงานนี้ขึ้นก็เพื่อจะขอบคุณผืนทะเลที่ให้อาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขา และเพื่อที่พวกเขาจะได้มีช่วงเวลารวมตัวกันดีๆ สักครั้งภายใต้การทำงานหนักมาตลอดทั้งเดือนเช่นนี้

เมื่อถึงริมหาด ที่นี่ดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก ชาวประมงทะเลที่รวมตัวกันนั้นมีทั้งชายหญิงเด็กเล็กและผู้ใหญ่ครบถ้วนทุกวัย ด้านข้างยังมีเพิงที่สร้างไว้อยู่ด้วย ข้างในเพิงกำลังนึ่งอาหารทะเล กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว

เหล่าบรรดาผู้ชายพากันดินสุราทานอาหารทะเลล้อมรอบกองไฟ กลุ่มผู้หญิงเองก็ได้ล้อมวงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงและเรื่องครอบครัว ส่วนเด็กๆ ก็พากันวิ่งเล่นไล่กันบนพื้นที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดและเม็ดทรายอย่างสนุกสนาน

พวกเขาต้อนรับแขกผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำได้ว่าซูเจ๋อพึ่งจะพาเฉินเสียนมาที่แห่งนี้เมื่อวานนี้เอง เช้าวันนี้ซูเจ๋อยังเป็นคนที่ซื้อปูกับชาวประมงคนหนึ่งอีกด้วย ฉะนั้นพวกเขาจึงได้รีบดึงทั้งคู่เข้ามาล้อมวงด้วย

เฉินเสียนและซูเจ๋อได้หย่อนตัวนั่งลงตรงพื้นที่ที่ว่าง ข้างหน้านั้นมีกองไฟกองใหญ่ลุกโชนอยู่ ในมือของซูเจ๋อกำลังปิ้งปลาอยู่ เฉินเสียนเองก็ได้กำลังปิ้งปูตัวหนึ่งอยู่ด้วยเช่นกัน

ทั้งคู่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการสลับกันปรุงรส โรยผงปรุงรสลงบนปลาและปูทะเล ราวกับว่าทั้งคู่ได้กำลังสนุกกับขั้นตอนนี้เป็นอย่างมาก

ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า : “กระดองปูของท่านค่อนข้างหนา รสชาติมันจะไม่ค่อยเข้าเนื้อ”

“ข้าชอบแบบนี้ แล้วจะทำไม” เฉินเสียนหันไปพูดกับเขา พร้อมกับเอียงศีรษะเล็กน้อย ก็เห็นซูเจ๋อยิ้มขึ้นบางๆ เธอเองจึงเม้มริมฝีปากแน่น ยิ้มขึ้นเหมือนไม่ได้ยิ้มยังไงอย่างงั้น

เมื่อปิ้งเสร็จแล้ว เฉินเสียนก็ได้เอื้อมมือไปดึงขาปู ปูร้อนจนลวกมือของเธอ เธอจึงรีบจับใบหูตัวเองทันทีทันใด ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า : “ให้ข้า เดี๋ยวข้าแกะให้ท่านทาน”

“ให้ท่านแล้วมันจะไม่ร้อนอย่างนั้นแหละ?” เฉินเสียนไม่ได้ยื่นให้เขา แต่เธอกลับค่อยๆ เป่าปูตัวนั้นให้เย็นด้วยตัวเอง

ซูเจ๋อค่อยๆ แกะเนื้อปลาที่ด้านนอกไหม้แต่เนื้อด้านในยังอ่อนนุ่มออกมาป้อนให้กับเฉินเสียน

เฉินเสียนอึ้งไปชั่วขณะ

เขาพูดขึ้นว่า : “ทานเถอะ ข้าเลือกก้างออกหมดแล้ว”

เฉินเสียนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าไม่ดื่มสุรามาหลายปีแล้ว เกรงว่าดื่มนิดเดียวก็คงจะเมาแอ๋”

ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “หากอยากดื่ม ก็ดื่มสักหน่อยเถิด ไม่ต้องกลัว เมาแล้วยังมีข้า”

เฉินเสียนรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด ราวกับว่ากำลังย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ตอนนั้นไม่ว่าเธอจะดื่มจนเมาหรือทำตัวน่าอายแค่ไหนก็ไม่เป็นไรทั้งนั้น เพราะซูเจ๋อมักจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ

เฉินเสียนสูดจมูก ริมฝีปากของเธอได้เผยรอยยิ้มขึ้นมา มันดูเปราะบางและจะแตกสลายได้ทุกเมื่อยังไงอย่างงั้น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับหันไปมองซูเจ๋อ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “งั้นข้าดื่มนิดหน่อย คงจะไม่เมาหรอกกระมัง”

ในขณะที่สุราถูกรินออกมานั้น ตัวสุรามีความขุ่นเล็กน้อย แต่กลิ่นหอมเป็นอย่างมาก เฉินเสียนจิบไปหนึ่งคำ ก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทั้งลำคอ ตามมาด้วยความร้อนระอุราวกับว่ากำลังถูกอบด้วยความร้อนอยู่ก็ไม่ปาน

ทันทีที่รู้สึกเจริญอาหาร เธอก็ได้กินปูไปสองตัวแกล้มสุรา แสงสว่างจากเปลวไฟกระทบลงบนใบหน้าของซูเจ๋อ เขาที่กำลังแกะปูให้เธออย่างตั้งใจนั้น จู่ๆ เธอก็เอนตัวแล้ววางคางบนแขนของเขา จ้องมองไปยังมือของเขาที่กำลังแกะเนื้อปูให้เธอด้วยความหิว

“ซูเจ๋อ มือของท่านงดงามที่สุด”

“งดงามแค่ไหน?”

เฉินเสียนยิ้มตาหยี : “จับพู่กันเขียนหนังสือ จับดาบต่อสู้ ตอนนี้ยังแกะเนื้อปูได้อีก คงจะเป็นมือคู่ที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้แล้วกระมัง”

ซูเจ๋อเลิกคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บางเบาว่า : “ไม่เพียงแค่เท่านี้ วันข้างหน้ามือคู่นี้ยังสามารถจับมือของท่าน และโอบกอดท่านได้ด้วย ดีหรือเปล่า?”

เฉินเสียนยิ้มขึ้นที่มุมปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ขอแค่ค่ำคืนนี้เพียงค่ำคืนเดียวก็เพียงพอแล้ว เพียงพอให้ข้าจดจำและหวนรำลึกไปตราบชั่วชีวิตแล้ว”

เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของเหล่าชาวประมงเริ่มเบาลง จากนั้นพวกเขาก็ได้เชื้อเชิญให้ผู้หญิงของตนออกมาร้องรำทำเพลงรอบกองไฟอย่างมีความสุขและสนุกสนาน ทางโน้นเริ่มครึกครื้นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ทางนี้เงียบมากขึ้นเท่านั้น

เฉินเสียนเอนตัวอิงศีรษะไปที่ไหล่ของซูเจ๋อ เมื่อเธอแหงนหน้าขึ้นมา ก็เห็นดวงดาวแพรวพราวที่ประดับทั่วทั้งผืนฟ้า

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี