ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 687

เธอชี้ไปยังดวงดาวบนฟากฟ้า พูดขึ้นกับซูเจ๋อด้วยรอยยิ้มที่อ้อยอิ่งว่า : “หลิ่วอีกว้าบอกว่าดาวแปดขาวข้างดวงดาวแห่งจักรพรรดิกลับมาสว่างไสวอีกครั้งแล้ว ซูเจ๋อ ท่านคือดาวแปดขาวของข้า และท่านจะต้องสว่างไสวเช่นนั้นอยู่เสมอ ทุกๆ ครั้งที่ข้าเงยหน้าขึ้นมา ก็จะสามารถมองเห็นท่านอยู่เสมอ”

“ซูเจ๋อ ซูเจ๋อ……”

ซูเจ๋อฟังเธอพร่ำเรียกชื่อของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่า

“หลายปีที่ผ่านมานี้ ทุกๆ ครั้งที่ข้าคิดถึงชื่อของท่าน ก็มักจะรู้สึกหวั่นไหวอยู่ร่ำไป ชื่อของท่าน ราวกับคาถาที่มีเวทมนตร์” เธอเอื้อมมือออกมา ลูบไล้ลวดลายบนคอเสื้อของเขาเบาๆ มันยังเหมือนเดิมดังเช่นเมื่อก่อนไม่มีผิด เป็นการสัมผัสหวานซึ้งที่เธอคุ้นเคยอย่างที่สุด

จากนั้นเธอก็เงียบไปเนิ่นนาน ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย

ซูเจ๋อโอบไหล่ของเธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ประทับคางลงบนผมของเธอ พร้อมกับถามขึ้นว่า : “กำลังคิดอะไรอยู่”

เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยว่า : “ข้ากำลังคิด ว่าค่ำคืนนี้สามารถยืดยาวอีกหน่อยได้หรือไม่”

“ท่านอยากให้มันยืดยาวอีกสักหน่อย มันยังมีคืนพรุ่งนี้ คืนมะรืนนี้ และยังมีค่ำคืนอีกมากมายในอนาคตที่จะยังคงยืดยาวและดำเนินต่อไป”

เธอยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ รอยยิ้มนั้นปรากฏขึ้นตรงมุมปากของเธอ ราวกับว่าจะร้องไห้ก็ไม่ปาน บีบคั้นหัวใจอย่างที่สุด

หญิงสาววัยรุ่นที่กำลังพากันร้องรำทำเพลงอยู่รอบกองไฟอย่างครื้นเครงนั้นได้สังเกตเห็นเฉินเสียนเข้า จึงได้เข้ามาดึงเฉินเสียนให้ลุกขึ้นมาเต้นรำด้วยกัน

เฉินเสียนรู้สึกว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราแน่ๆ ที่ทำให้เธออารมณ์อ่อนไหวและพลุกพล่าน ไม่ควรจะจบการนัดพบกับซูเจ๋อค่ำคืนนี้ด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงตอบรับคำเชื้อเชิญออกไปเต้นรำกับหญิงสาวเหล่านั้น แต่ยังไม่ลืมที่จะหันมาพูดกับซูเจ๋อว่า : “ข้าไปเล่นสักหน่อย จะได้สร่างเมาด้วย”

ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “ไปเถอะ”

เมื่อเฉินเสียนไปแล้ว ซูเจ๋อจึงหยิบไหสุราที่วางอยู่ข้างๆ เธอขึ้นมาดู ปรากฏว่าข้างในไหนั้นว่างเปล่า

ที่แท้แล้วเธอดื่มสุราอย่างนี้เองหรอกหรือ ดื่มสุราจนหมดไหอย่างไม่รู้ตัวเช่นนี้

ซูเจ๋อที่รู้สึกไม่วางใจเพราะเป็นห่วง จึงได้เดินตามเธอไป เขายืนอยู่รอบนอก มองเฉินเสียนเต้นรำอยู่ท่ามกลางบรรดาหญิงสาวเหล่านั้น จับมือกันเป็นวงกลม พากันเต้นรำหมุนไปมาอยู่รอบกองไฟ

ดูออกว่าเธอนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เธอได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่สนุกสนานครื้นเครงอย่างเต็มที่

สายตาของซูเจ๋อจับจ้องไปที่เธออยู่ตลอดเวลา มองดูเธอหมุนเป็นวงกลมรอบแล้วรอบเล่า

เฉินเสียนที่รู้สึกหัวหมุนขึ้นมาฉับพลัน พื้นที่เท้าดูเอียงเอนไม่สม่ำเสมอ ราวกับว่ากำลังเหยียบย่ำอยู่บนปุยนุ่นที่กำลังล่องลอยก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าเธอหมุนวงกลมอย่างไรกัน หมุนจนตัวเองเซเข้าไปในอ้อมกอดของใครคนหนึ่งเข้า

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณาที่คุ้นเคย

ซูเจ๋อเห็นว่าเธอจะล้ม จึงได้รีบเข้ามาประคองเธอไว้

เธอซบหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปยังไงอย่างงั้น จู่ๆ ก็กอดเขาแนบแน่นโดยที่ไม่สนในอะไรและไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น

ลมยามค่ำคืน พัดเปลวไฟกระจายพลุ่งพล่านดุจดวงดาวที่นับไม่ถ้วน เงาของทั้งสองที่ทับซ้อนกันอยู่ เงาที่ถูกยืดจนยาวออกไป เสื้อผ้าของทั้งคู่เกี่ยวพันกันกลมเกลียวแนบแน่น เส้นผมพลิ้วไหว ราวกับภาพวาดที่วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง

ซูเจ๋อโน้มตัวลงมารวบเอวของเฉินเสียน มืออีกข้างของเขาจับแขนของเธอ รั้งเธอเข้ามากอดในอ้อมกอดของเขา แต่เขาก็ไม่อาจจะหยุดยั้งอาการสั่นเทาของไหล่เธอได้

คอเสื้อของเขาเปียกชุ่มและเย็นชื้น

เหมือนว่าตัวเธอนั้นได้ทำสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุดในชีวิตหายไป และเธอนั้นก็ไม่อาจจะฝืนทนมันได้อีกต่อไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้อย่างสิ้นหวังและโศกเศร้าเช่นนี้ต่อหน้าซูเจ๋อ

ความรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจตายมันเป็นเช่นไร ซูเจ๋อคงจะได้ตระหนักและรับรู้ถึงมันแล้ว เมื่อเขาได้มองดูเฉินเสียนที่กำลังร้องไห้อย่างนี้

“ท่านยังมีสติอยู่ใช่หรือเปล่า?” ซูเจ๋อประคองใบหน้าของเธอเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หากท่านยังมีสติครบถ้วน งั้นก็ตั้งใจฟังข้าให้ดี พรุ่งนี้หากท่านลืมคำพูดที่พูดออกมาในค่ำคืนนี้ ข้าจะไม่ให้อภัยท่านเลย”

ซูเจ๋อก้มลงมาชิดปลายจมูกของเธอ หายใจใกล้เธอเพียงไม่ถึงคืบ พูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำข้างๆ หูของเธอว่า : “ข้าจะไม่รอท่านได้อย่างไรกัน ท่านรู้ได้อย่างไรกันว่าข้านั้นไม่หวังให้ท่านรอข้า ข้าตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบหน้าท่าน ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งข้าจะสามารถเหยียบย่ำอยู่บนแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ของท่านอย่างอิสรเสรี ทุกๆ ครั้งที่ข้ามองเห็นเหล่าบรรดาผู้ชายที่เข้ามารายล้อมรอบกายท่าน ข้าก็โกรธจนเลอะเลือน จึงพูดคำพูดเหล่านั้นออกไป พระชายารุ่ยหรือสายสัมพันธ์ฉันภรรยาอะไรนั่น หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจะยังพัวพันตัดท่านไม่ขาดเช่นนี้อยู่ทำไมกัน?”

“แต่สุดท้ายก็ท่านกลับยังทนมันได้ จนข้าแทบจะบ้าตายอยู่รอมร่อเสียด้วยซ้ำ ท่านมักทำให้ข้ารู้โกรธและรู้สึกผิดพร้อมกับเสียใจไปในคราวเดียวกัน เฉินเสียน ข้าไม่ได้ชอบหญิงอื่นใด นับประสาอะไรกับการไปสู่ขอหญิงอื่นอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่มีคนในหัวใจอยู่แล้ว ฉะนั้น ข้าไม่เคยมีพระชายารุ่ยเลย ข้าเก็บตัวอยู่แต่ในห้องที่ว่างเปล่าทั้งวัน ไม่เคยเลยที่จะกอดหรือจูบใคร ไม่เคยจะให้ใครมาสัมผัสคอเสื้ออย่างที่ท่านทำอยู่ตอนนี้ หรือแม้แต่สัมผัสใบหน้าของข้า ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง?”

เฉินเสียนจ้องมองใบหน้าของเขาด้วยความอึ้ง เค้าโครงร่างของเขาสะท้อนลงบนดวงตาของเธออย่างชัดเจน

ซูเจ๋อพูดขึ้นต่อว่า : “ข้ารอคอยท่านอยู่เสมอ ในตอนแรกท่านเองที่เป็นคนทำลายงานแต่งของข้า คนในเมืองหลวงต่างรู้ว่าข้านั้นไม่ชอบในอิสตรี ภายภาคหน้าเกรงว่าคงไม่มีใครที่จะกล้าแต่งงานมาเป็นภรรยาของข้าอีก เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะไม่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างและโดดเดี่ยวเดียวดาย ข้ายังคงคอยเฝ้ารออยู่เสมอ รอให้ท่านสามารถแบกภาระที่ยิ่งใหญ่และหนักอึ้งนี้ได้ วังหลังเหล่านั้นของท่าน……”

ซูเจ๋อที่ในตอนแรกกำลังรอเธอพูดออกมา แต่เฉินเสียนกลับเงียบงันไม่ได้พูดอะไร แต่ในขณะที่ซูเจ๋อจะก้มลงมาเพื่อจะจูบเธอนั้น จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบาบางว่า : “ซูเจ๋อ”

เสียงกระซิบที่เบาบาง นำมาซึ่งน้ำเสียงที่หนักหน่วงและแหบพร่าเล็กน้อย แต่กลับไพเราะน่าฟังเป็นที่สุด

ครั้นเมื่อสัมผัสโดนริมฝีปากของเธอแล้วนั้น เธอก็หลับตาทั้งคู่ลง แล้วจึงผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของซูเจ๋อ

ซูเจ๋อจึงอุ้มเธอขึ้นมา เขาถอนลมหายใจเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ช่างเถิด อย่างไรเสีย คนที่ข้าต้องการก็คือท่าน”

เวลานี้เอง เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ราวกับว่าพวกเขากำลังดีใจที่ได้เป็นสักขีพยานให้กับความรักของคู่หนุ่มสาวที่ได้หวนกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง ฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี