คนอื่นๆ ที่เคยใช้คำพูดดูถูกเหยียดหยามเจียงเฉิงล้วนรู้สึกเสียใจมาก เดิมทีพวกเขาควรจะได้เพลิดเพลินกับใช้จ่ายระดับหรูหราแบบนี้ฟรีๆ แต่ตอนนี้กลับต้องมาสมทบเงินจ่ายกับซุนเส้าหลง
หยูตานเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าแขนของสวี่ฉิงเอาไว้ เธอเอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิงวอนว่า “ฉิงฉิง เราเป็นเพื่อนซี้กันมานาน เรื่องวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย เธอช่วยขอร้องแทนฉันหน่อยนะ!”
หยูตานยังคงมีความหวังรำไร ถึงอย่างไรเธอก็เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสวี่ฉิงสมัยอยู่มหาวิทยาลัย
แต่เมื่อสวี่ฉิงได้ยินคำพูดของหยูตานเธอก็หันกลับมาอย่างเย็นชา จากนั้นจึงยกมือขึ้นตบหน้าหยูตานอย่างแรง
เพียะ!
เสียงอันคมชัดดังก้องไปทั่วห้อง
หยูตานถูกตบจนหน้าหัน ผมเผ้ายุ่งเหยิงตกลงมาปรกหน้าผาก
หยูตานมองสวี่ฉิงด้วยความชะงักงัน เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าสวี่ฉิงจะตบเธอ นอกจากนี้สิ่งที่เธอเห็นจากแววตาของสวี่ฉิงยังมีแต่ความเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง
“ตั้งแต่วินาทีที่เธอตัดสินใจว่าจะทำให้สามีของฉันขายหน้า เธอก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนซี้ของฉันอีกต่อไป” สวี่ฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็น
เจียงเฉิงประหลาดใจเหมือนกันเมื่อได้ยินดังนั้น เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าสวี่ฉิงจะปกป้องเขาแบบนี้ เพื่อเขา แม้แต่เพื่อนสนิทเธอก็ไม่เอาด้วย
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็มาถึงและพาซุนเส้าหลงกับคนอื่นๆ ออกไปจากห้อง แม้แต่ซุนเส้าหลงในเวลานั้นก็นึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ว่าทำไมตัวเองจะต้องรนหาที่ตายไปล่วงเกินคนที่น่ากลัวเช่นนี้
ติงเจิ้งหมิงเอ่ยกับเจียงเฉิงอย่างนอบน้อมว่า “คุณเจียง ด้วยฐานะของคุณ คุณควรจะรับประทานอาหารในห้องพิเศษที่ดีที่สุดของเรา จะให้ผมจัดเตรียมให้คุณใหม่ตอนนี้เลยไหมครับ”
“ไม่เป็นไร เรากินเรียบร้อยแล้ว” เจียงเฉิงว่าแล้วจึงออกไปจากที่นี่พร้อมกับสวี่ฉิง
แขนอันเรียวยาวของสวี่ฉิงคล้องไปที่แขนของเจียงเฉิงอย่างนุ่มนวล มีเสียงที่นอบน้อมอย่างหาใดเปรียบดังมาจากด้านหลังของพวกเขา “ขอส่งคุณเจียงกับคุณหญิงเจียงด้วยความเคารพครับ”
หลังจากเข้าไปในรถ เจียงเฉิงซึ่งนั่งที่เบาะข้างคนขับจึงมองสวี่ฉิงและถามว่า “เป็นยังไงบ้าง วันนี้ผมไม่ได้ทำขายหน้าต่อหน้าเพื่อนของคุณใช่ไหม”
เจียงเฉิงเองก็รู้เหตุผลที่สวี่ฉิงพาเขามาในงานนัดรวมตัวของเพื่อนร่วมชั้นในวันนี้ ก่อนหน้านี้เจียงเฉิงงุ่นง่านเกินไป แม้ว่าทั้งคู่จะแต่งงานกันแค่ในนาม แต่ในใจของเธอก็ยังหวังว่าสามีจะสร้างเกียรติให้เธอได้
ด้วยเหตุนี้เจียงเฉิงจึงหยิบบัตรใบนั้นออกมาเพื่อตบหน้าคนที่ดูถูกเขา และก็เพื่อสลัดตัวตนของลูกเขยที่งุ่นง่านไม่เอาไหนของเจียงเฉิงคนก่อนออกไปด้วย
ก่อนหน้านี้โจวหลินก็แค่ทำเป็นว่ามีทางรักษาทั้งที่ไม่มีความหวัง แต่หลังจากกินยาไปสองวัน ร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวขึ้นมาจริงๆ บ่ายวันเดียวกันนั้นเขาหาผู้หญิงมาหนึ่งคนและทดลองดู และในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นเองเขาจึงเลื่อมใสเจียงเฉิงอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำภาพวาดมาเอาใจพ่อของสวี่ฉิง ซึ่งอันที่จริงก็เพื่อมาเอาใจเจียงเฉิงกลายๆ
เจียงเฉิงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ยินดีกับนายด้วย ถ้าไม่มีอะไรอีกก็กลับไปได้แล้ว”
แม้ว่าเจียงเฉิงจะยังพูดจาไร้มารยาท แต่โจวหลินกลับไม่โกรธเลยสักนิด เขาพูดกับเจียงเฉิงด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เจียงเฉิง อันที่จริงผมมาหาพี่เพราะมีเรื่องจริงๆ นั่นแหละ”
“เรื่องอะไร”
“ลูกชายของลูกค้าคนสำคัญคนหนึ่งของพ่อผม เขาป่วยหนัก หาหมอดังๆ มาก็เยอะแล้วแต่รักษาไม่หาย พอพ่อผมเห็นว่าผมหายเป็นปกติ ท่านเลยอยากให้พี่ไปช่วยรักษา พี่วางใจได้ ครอบครัวนั้นรวยมาก เรื่องค่ารักษาไม่ใช่ปัญหา” โจวหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนแรกเจียงเฉิงคิดจะปฏิเสธทันที แต่พอคิดอีกทีเขาก็นึกถึงครอบครัวที่ยากจนของตัวเองขึ้นมา พ่อแม่ของเขาต้องพึ่งแผงขายของเล็กๆ เพื่อหาเงิน เขาเองก็ต้องหาเงินเพื่อช่วยพ่อแม่
เจียงเฉิงพยักหน้าและบอกว่า “ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปดูให้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง