ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น นิยาย บท 220

หลังจากตัดสินใจได้ เขาก็รีบให้คนไปเตรียมเกี้ยว เขาเริ่มเก็บสัมภาระและบอกภรรยาและลูก ๆ เขาในจวนว่าเขากำลังจะอาศัยช่วงกลางดึกที่คนไม่เยอะหลบหนีออกไป

การเคลื่อนไหวในจวนอำเภอยังคงเงียบเชียบ

แต่สมาชิกในครอบครัวของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกพิพากษาตัดศีรษะต่างก็เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกเขารวมตัวกันเพื่อจับตาดูเจ้าอำเภอคนนี้

เพราะกลัวว่าข้าราชการสันดานหมานี่จะหนีไป

“ทุกคนออกมาเร็ว ไอข้าราชการสันดานหมาที่ควรถูกสวรรค์ลงทัณฑ์กำลังจะหนีไปแล้ว รีบไปหยุดเขาไว้เร็ว อย่าให้มันหนีไปได้ !”

บนถนนที่ว่างเปล่ามีคนตะโกนเสียงดังแว่วมา

ในคืนที่เงียบสงัด เสียงนั้นดังก้องกังวานออกมาชัดเจนและเป็นเสียงสูงที่โดดเด่น

หลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมท้องถนนก็เปิดประตูกรูวิ่งกันออกมา

บางคนก็ถือหัวผักกาดขาวเน่า บางคนก็ถือขยะ บางคนก็ถือไข่เน่า บางคนก็ถือก้อนอิฐ

พวกเขาเกลียดข้าราชการสันดานหมาตัวนี้เข้ากระดูกดำตั้งนานแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะเขา

อำเภอไท่หลิงจะลงเอยเช่นนี้ไปได้อย่างไร

วัน ๆ ในใจพวกเขาก็เอาแต่กังวล กลัวว่าตนเองและครอบครัวจะติดเชื้อโรคฝีดาษอันน่าสะพรึงกลัวนี้เข้า

เมื่อใดที่มีคนในครอบครัวติดเชื้อ ทั้งครอบครัวก็แทบจะติดเชื้อทั้งหมด

หากโชคดีก็จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตได้ หากโชคร้ายทั้งครอบครัวก็ถูกคร่าชีวิตทั้งหมด

ความสิ้นหวังนั้น ความน่ากลัวนั้น ความรู้สึกลึก ๆ ของการไร้อำนาจนั้น

ก็ได้ห่อหุ้มพวกเขาไว้วันแล้ววันเล่า

เวลาเพียงแค่สองเดือน อำเภอไท่หลิงของพวกเขาก็ดูเปลี่ยนไปเหมือนกลายเป็นขุมนรก

อีกทั้งต้นเหตุของเรื่องวินาศสันตะโรทั้งหมดนี้เกิดจากข้าราชการสันดานหมาที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา

เฉาจือต๋าเมื่อเห็นผู้คนมารวมตัวกันบนถนนมากขึ้นเรื่อย ๆ ใจเขาก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบเร่งให้คนรับใช้ของเขานำทองคำหมื่นตำลึงนำขึ้นบนรถม้า

ถ้าเป็นปกติแล้ว ทหารอารักขาในจวนยังสามารถช่วยกีดกันผู้คนให้ได้ แต่ตอนนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาในมือของเขาล้วนถูกท่านอ๋องเฉินจัดส่งไปช่วยเหลือยังพื้นที่ที่เกิดโรคระบาดหมดแล้ว

จวนอำเภอของเฉาจือต๋าจึงเหลือเพียงเด็กรับใช้อยู่ไม่กี่คน

ไข่เน่า ผักกาดขาวเน่า ก้อนหิน ก้อนอิฐ ไม่ว่าจะของอะไรที่ไว้ทุ่มหรือโยนได้หรือไม่ได้ ทั้งหมดก็ล้วนตกใส่หัวและบนตัวของเฉาจือต๋า

ท่ามกลางฝูงชน เขายังเห็นคนถือมีดเข้ามาใกล้อีกด้วย

เขากลัวว่าผู้คนจะทำร้ายลูกชายวัยสามขวบของเขาบนเกี้ยว เขาจึงรีบสั่งให้คนขับรถเกวียนม้าไปรอเขาที่ประตูเมืองก่อน เมื่อสั่งการเสร็จก่อนที่เหล่าผู้คนจะรายล้อมเขา เขาก็ออกวิ่งไปในทันที

“ทุกคนรีบตามไป อย่าให้ไอข้าราชการสันดานหมานั่นหนีไปได้ !”

หลังจากรอมานานกว่า 10 วัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรอเจ้าหน้าที่สันดานหมาคนนี้ออกจากจวนมาได้

จะปล่อยให้เขาหลบหนีไปง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร ?

ผู้คนกลุ่มใหญ่วิ่งไล่ตามเฉาจือต๋าอยู่ด้านหลัง

อีกทั้งยิ่งผ่านไป คนกลุ่มนั้นก็ยิ่งรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลายครั้งที่เฉาจือต๋าเกือบจะถูกจับได้

เขาวิ่งจนแทบจะไม่มีแรงแล้ว

ระยะห่างไปยังปากประตูเมืองก็ยังอีกยาวไกล

เขารู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไปไม่ถึงแน่

สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มควันที่ลอยอยู่ข้างหน้าเป็นหลุมฝังศพที่มีแสงไฟพวยพุ่งถึงชั้นฟ้า ตรงนั้นเป็นสถานที่สำหรับฌาปนกิจศพที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโรคฝีดาษ

เขาวิ่งไปคว้าคบเพลิงจากมือจากทหารอารักขาทั้งสองคน

ทหารอารักขาสองคนนี้รู้จักเฉาจือต๋า แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าอำเภอเฉาจือต๋าถึงต้องการแย่งคบเพลิงไปจากมือพวกเขา ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นแค่ทหารอารักขาไม่มีสิทธิ์ถามธุระของเจ้าอำเภอได้

หลังจากเจ้าอำเภอเฉาได้รับคบไฟไป เขาก็จุดไฟทุกครั้งที่วิ่งไปยังที่ซ่อน

ตราบใดที่ไฟยังลุกอยู่ คนพวกนี้จะตั้งหน้าตั้งตาดับไฟและไม่มาไล่เขาอีก

แน่นอนว่าในขณะที่เขาจุดไฟไปเรื่อย ๆ คนที่ไล่ตามเขาก็ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ

ในท้ายที่สุด เขาโยนคบเพลิงสองอันนั้นทิ้งอย่างไม่ใส่ใจไปในบ่อเกรอะซึ่งคนทั่วไปเอาถังมาเททิ้งกันเป็นเวลาหลายปีและวิ่งหนีไปที่ประตูเมือง

ที่นั่นมีรถม้าของเขาจอดรออยู่

เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าและตะโกนเสียงดัง "ข้าเป็นเจ้าอำเภอของอำเภอไท่หลิง เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้!"

ประตูสีโลหะหนาและหนักเปิดออกอย่างช้า ๆ

คนขับรถม้าหวดแส้ลงไป รถม้าก็ขับออกจากประตูเมือง

ลู่ยุ๋นหลัวอ้างอิงว่าถุงมือคู่หนึ่งราคา 15 เหวิน ส่วนหน้ากากอันหนึ่งก็ 5 เหวิน อีกทั้งยังขอให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำเงินไปมอบให้กับท่านตาของนาง โดยขอให้เขาจับตาดูเจ้าอำเภอเป็นพิเศษว่างินทั้งหมดนั้นได้แจกจ่ายถึงมือประชาชน

และยังสัญญาอีกว่า ช่วงไม่กี่วันข้างหน้าจะรับซื้อของที่สั่งทำทั้งหมดในราคาเดียวกัน ทุกวันเมื่อทำเสร็จก็ให้ส่งตรงไปยังอำเภอไท่หลิงทันที

หลังจากจัดการกับเรื่องนี้แล้ว ลู่ยุ๋นหลัวก็ยกขบวนพลรีบไปยังมณฑลซ่างหยวนทันที

กลุ่มคนเป็นแถวเมื่อเข้าใกล้ประตูเมือง นางก็สั่งให้ขบวนพลที่ติดตามทั้งหมดหยุดขบวนและสั่งให้คนรับใช้แจกจ่ายหน้ากากและถุงมือทั้งหมดให้กับขบวนพลที่ติดตามมาด้วย

คนหนึ่งจะมีหน้ากากหนึ่งอันและถุงมือสองข้าง

“นายหญิงพะยะค่ะ สิ่งนี้มีประโยชน์งั้นรึ ?” หลิวยู่ชึมองดูสิ่งของในมือด้วยสีหน้ายากจะทนดูได้

เขาเองก็ไม่รู้ว่านาหญิงคนนี้ไปได้ยินมาจากไหน

ถึงได้คิดของแปลกพิสดารแบบนี้ออกมาได้

หลังจากสวมใส่แล้วทั้งตัวก็ดูผิดแปลกไปอีกทั้งก็ยังหายใจลำบาก

มณฑลซ่างหยวนกับเมืองหลวงนั้นไม่เหมือนกัน

ปัจจุบันนี้ที่เมืองหลวงได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง แต่ที่นี่ยังคงอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อสวมใส่ของแบบนี้เป็นเวลานาน ๆ ก็ทำให้คนอึดอัดไม่สบาย

เมื่อลู่ยุ๋นหลัวกำลังคิดว่าจะอธิบายหน้าที่ของหน้ากากนี้อย่างไรเพื่อให้ทุกคนยอมรับ ผู้เฒ่าเก่อที่มาพร้อมกับนางก็ได้ช่วยนางอธิบาย "ของแบบนี้ข้าน้อยก็รู้เพียงอยู่น้อยนิดเท่านั้น ข้าน้อยโชคดีเคยได้เจรจาเซียนแพทย์หลิวของหอเซียนแพทย์มาบ้าง ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้จะสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้โดยการปิดปากและจมูกเมื่อเผชิญกับโรคระบาดได้ "

ผู้เฒ่าเก่อคนนี้เป็นรองอาจารย์แพทย์ข้าราชการระดับเจ็ดของสำนักแพทย์หลวง ซึ่งดูแลรับผิดชอบด้านการแพทย์ทั่วอาณาจักร

สถานะรองอาจารย์แพทย์ก็เป็นรองเพียงแค่อาจารย์แพทย์ผู้เฒ่าถังเท่านั้น

ผู้เฒ่าเก่อเทียนลูบไปที่เคราของเขาพร้อมกับค่อย ๆ นึกและพูดออกมา

ถ้านายหญิงไม่นำสิ่งนี้ออกมา เขาคงเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

โรคระบาดในอำเภอไท่หลิงรุนแรงมาก

ด้วยของสองสิ่งนี้อย่างน้อยสำหรับพวกเขาก็ช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่ง

แต่นายหญิงรู้เรื่องของสองสิ่งนี้ได้อย่างไร ?

อย่างที่ต้องรู้ ของแบบนี้แม้แต่แพทย์ธรรมดาก็อาจจะไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้

ยิ่งกว่านั้นเขาทราบเรื่องนี้มาจากเซียนแพทย์หลิวแห่งหอเซียนแพทย์

เก่อเทียนจึงชำเลืองมองลู่ยุ๋นหลัวอย่างสงสัย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ายุ่งอยู่กับทํานาในตำหนักเย็น