“อืม..หอมจัง” เสียงงัวเงียเอ่ยไม่ค่อยดังนักและยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองได้แต่สูดดมกลิ่นที่ตนพึมพำว่าหอม
“หิวจังเลย...” เสียงงัวเงียยังไม่หยุดเอ่ย
“หิวก็ลุกขึ้นมานอนอยู่แบบนั้นจะกินได้อย่างไร” เสียงบุรุษเอ่ยขึ้นมาภวังค์ เย่วซินลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับรวบรวมความคิดเมื่อลำดับเรื่องราวได้ก็รีบหันหน้าไปมองรอบๆแต่ก็ต้องสะดุดที่บุรุษร่างสูงใหญ่
“ท่าน...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วที่นี่คือที่ใดกัน” เย่วซินเอ่ยถามรัวอย่างตกใจแต่ก็แอบดีใจที่เจอเขา
“ข้าก็ตามมาช่วยเจ้านะสิ แต่ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าที่นี่คือที่ใด” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก เขาติดตามนางมาและเห็นว่านางกำลังตกลงในโพรงดินขนาดเล็กและเขาจัดการกับเก็บกวาดพวกที่ไล่ล่านางจนสิ้น แล้วก็กระโดดตามลงมาไม่คิดว่าหลุมเล็กแค่นั้นจะลึกและพาเขามาอยู่ที่ใดก็ไม่รู้เพราะยังไม่เดินสำรวจให้ถ้วนทั่วมัวแต่ดูแลคนที่นอนไม่ได้สติ
“ท่านไปหาปลามาหรือ?” เย่วซินเอ่ยพร้อมกับจ้องมองปลาตัวโตที่กำลังถูกย่างอยู่เหนือกองไฟ
“ซื้อมากระมัง” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ
“ท่าน...ข้าพูดดีด้วยแล้วนะทำไมต้องกวนประสาทข้าอยู่เรื่อย” เย่วซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ข้าชอบเวลาเห็นเจ้าทำหน้ายุ่งตลกดี” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยพร้อมยกยิ้มมุมปาก มองหน้าสตรีที่เวลานี้คิ้วชนกันแถมยังหน้างอปากยื่นใส่เขาอีก
“โรคจิตชัดๆ” เย่วซินสบถออกมาเสียงไม่ดังนักแต่สำหรับคนที่ฝึกวรยุทธ์มานั้นได้ยินชัดเจนดีทีเดียว
จ้าวไท่เหว่ยไม่เอ่ยตอบโต้และไม่ได้โกรธเคืองที่นางเอ่ยเช่นนั้น จะว่าไปเขาก็อาจจะเป็นอย่างที่นางว่าจริงๆก็ได้ จ้าวไท่เหว่ยหยิบปลาที่เสียบไม้ย่างจนสุกหอมส่งให้หญิงสาว
“กินเสียจะได้มีแรงเจ้ายังไม่ได้กินอะไรมาเลยทั้งวัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยขอบคุณพร้อมส่งยิ้มเอาใจไปให้คนโรคจิตที่ปากร้ายแต่ก็ใจดี
จ้าวไท่เหว่ยเมื่อมองเห็นรอยยิ้มสดใสก็ใจกระตุกเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มของนางนั้นช่างอันตรายเสียจริงๆ จ้าวไท่เหว่ยเบี่ยงสายตาออกจากรอยยิ้มร้ายแล้วหันไปสนใจกับปลาอีกหนึ่งตัวที่กำลังย่างอยู่และทำจิตใจให้กลับมาเต้นปกติเหมือนเดิม
เย่วซินกินปลาเพื่อประทังความหิวแม้มันจะจืดชืดเสียจนอยากจะคายทิ้งมาเพียงใดก็ตาม นางน่าจะพกเครื่องปรุงอาหารใส่มาในแหวนจัดเก็บด้วยปลาย่างคงจะอร่อยน่าดู เมื่อมองไปทางบุรุษร่างสูงก็เห็นว่าเขากำลังนั่งกินปลาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกว่ามันอร่อยหรือไม่
เย่วซินมองด้วยสายตาจับจ้องอย่างพินิจ เขาช่างเป็นบุรุษที่หล่อเหลารูปร่างก็สูงใหญ่เวลายืนคุยกับเขาต้องแหงนหน้ามองเพราะตนเองสูงเพียงเท่าอกเท่านั้น อยากรู้นักว่าสตรีนางใดจะได้เขาเป็นคู่ครอง นางก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงเรื่องลามากหรอกนะแต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆและสงสารสตรีนางนั้นเหลือเกินคงจะแบกรับความใหญ่โตของเขาจนร่างกายแทบแหลกสลายเป็นแน่ คิดแล้วขนลุกขึ้นมาทันทีทันใด
“มองข้าไม่วางตาเช่นนี้ คิดจะกินข้าหรืออย่างไร” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ย แต่ไม่ได้หันหน้ามามองหญิงสาวเขาใช้เพียงสัมผัสเท่านั้นว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเขาไม่วางสายตา
“บะ...บ้า...ทะลึ่งลามก” เย่วซินเอ่ยเสียงลนลานพูดจาติดขัด
“ข้าหมายถึงเจ้ากินเนื้อปลาไม่อิ่มแล้วอยากจะกินเนื้อข้าเพียงเท่านั้นไม่เห็นจะลามากตรงไหน เอ...หรือว่าเจ้าคิด...” จ้าวไท่เหว่ยกำลังจะเอ่ยต่อแต่ก็ถูกเสียงใสขัด
“บ้า...ใครคิดกัน” เย่วซินหัวเสียเมื่อรู้สึกว่าตนเองโดนจับได้ว่าคิดลามกจึงคิดจะลุกเดินหนีไปจากตรงนั้นหนีความอับอายแต่ก็ต้องหยุดความเคลื่อนไหว เมื่อรู้สึกว่าร่างกายของนางมันปวดระบมไปหมดทั้งร่าง
“โอ๊ย...ปวดไปหมดทั้งตัวเลย” เย่วซินนั่งลงตามเดิม
“เจ้ามียาแก้ปวดเหมื่อยหรือไม่กินเสียหน่อยจะได้หายปวด ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้นแขนขาไม่หักก็ดีมากแล้ว” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอกร่างเล็กข้างๆ
“แล้วท่านไม่ปวดบ้างหรือ? ท่านก็ตกลงมาเหมือนกันนี่” เย่วซินเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าสบายมาก”
“ชิ...” เย่วซินเบ้ปากใส่คนที่นั่งด้านข้าง เขาเนื้อตัวทำด้วยเหล็กหรือย่างไรถึงได้ไม่รู้สึกรู้สาเลยอึดเสียจริง จากนั้นก็หยิบยาแก้ปวดขึ้นมายัดใส่ปากตามด้วยน้ำสะอาดที่นางมักจะเตรียมเอาไว้ในแหวนจัดเก็บเผื่อเหตุฉุกเฉิน
“ท่านนอนก่อนก็ได้นะข้าเพิ่งตื่นยังไม่ง่วงจะนั่งเฝ้ายามให้เอง” เย่วซินเอ่ยขันอาสาด้วยน้ำเสียงสดใส
“ไม่เป็นไรข้าไม่ง่วง”
“อ่อ...” เย่วซินพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยสังเกตว่าในนี้เหมือนถ้ำขนาดเล็ก มองไม่เห็นแม้กระทั่งท้องฟ้าขนาดปาดถ้ำยังมองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน มืดเสียจนน่ากลัวคิดไม่ออกเลยว่าถ้านางตื่นขึ้นมาตัวคนเดียวจะรู้สึกเช่นไรคงนั่งร้องไห้เป็นอย่างแรก เพราะนางกลัวความมืดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย หรือพูดอีกอย่างคือกลัวผีนั่นเอง เมื่อนึกถึงผีเย่วซินก็ขยับตัวไปใกล้คนร่างสูงจนตัวแนบชิดกันเพื่อหาความอบอุ่นใจ
จ้าวไท่เหว่ยรับรู้ทุกการกระทำของคนด้านข้างและรู้ด้วยว่านางรู้สึกเช่นไรถึงได้มานั่งเบียดเขาเช่นนี้ จึงมีความคิดที่จะกลั่นแกล้งเล็กๆน้อยเพื่อความสนุกสนาน คิดได้เช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นมาทันที
“ข้าได้ยินเสียงบางอย่างดังอยู่ด้านนอก เจ้ารออยู่ตรงนี้ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด” สิ้นเสียงไม่รอคำตอบจ้าวไท่เหว่ยก็พุ่งตัวออกไปทางปากถ้ำทันที เขาสำรวจบริเวณด้านนอกมาบ้างตอนที่ออกมาหาปลาตรงนี้นับว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
“ท่าน...เดี๋ยวก่อนสิ” เย่วซินจะบอกเขาว่าขอไปด้วยคนข้าไม่อยากอยู่คนเดียวแต่ไม่ทันได้พูดเขาก็หายวับไปอย่างกับภูตผี แล้วนางจะนึกถึงผีทำไมตอนนี้มันใช่เวลาหรือไม่ เย่วซินนึกในใจพร้อมกวาดสายตาไปมารอบๆอย่างหวาดกลัว
จู่ๆก็มีสายลมพัดมากระทบตัวเย่วซินต้องกอดอกด้วยความหนาวเย็นจนร่างกายสั่นเทา ไม่เพียงเท่านั้นในความเงียบสงัดกลับมีเสียงบางอย่างดังขึ้น
“ดีๆๆเช่นนั้นท่านนั่งข้างๆข้านะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมทอดมองด้วยแววตาอ้อนวอนดวงตายังมีน้ำใสๆคลออยู่อย่างน่าสงสาร
“บุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิดกันมันไม่งาม” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยแย้งแม้ในใจจะอ่อนยวบเต็มทนเมื่อเห็นสายตาคู่งามคลอหน่วยไปด้วยน้ำตา และรู้สึกผิดขึ้นมาเขาถึงกับทำสตรีร้องไห้ได้อย่างไรกัน
“ไม่เป็นไรๆข้าไม่ถือ อีกอย่างท่านไม่พูดข้าไม่พูดไม่มีใครรู้หรอก...เพราะที่นี่มีเพียงข้าและท่านเท่านั้น” เย่วซินเอ่ยบอก
“เจ้าเป็นสตรีแบบใดกันใกล้ชิดบุรุษถึงไม่รู้สึกเขินอายสักนิด” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมนั่งลงข้างๆอย่างที่นางต้องการ
“ข้าทำจนชินแล้วนะสิเลยมีภูมิต้านทานสูง” เย่วซินเอ่ย
“ทำจนชินหรือ?เจ้าทำแบบนี้กับผู้ใด” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปคล้ายเย็นชาลงอย่างไม่รู้ตัว
“ก็คนในครอบครัวนะสิ ข้ากอดทุกคนที่ข้ารักที่กอดบ่อยที่สุดก็ท่านปู่ อ้อ...หอมแก้มด้วยนี่คือการแสดงความรักของข้า” เย่วซินเอ่ยบอก
“พี่ชายของเจ้าด้วยหรือ?”
“ใช่...”
“แล้วเจ้ารักข้าด้วยหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย
“ท่านพูดอะไรข้าไปรักท่านตอนไหนกัน” เย่วซินเอ่ยถามอย่างสงสัยเขาคิดได้อย่างไรว่านางรักเขา เจอกันแต่ละครั้งก็ทะเลาะกันเสียมากกว่า
“เมื่อครู่เจ้ากอดข้า เจ้าบอกว่ามันเป็นวิธีแสดงความรักของเจ้าเช่นนั้นแสดงว่าเจ้ารักข้ามิใช่หรือ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามด้วยความอยากรู้และต้องการคำตอบ
เย่วซินตาโตไม่คิดว่าเขาจะซื่อบื้อได้ขนาดนี้จนแยกแยะไม่ออกว่าการกอดแสดงความรักเป็นอย่างไรหรือว่าเขาไม่เคยถูกกอดกัน
“เมื่อครู่ไม่นับ...ข้ากลัวเลยดีใจมากไปเสียหน่อยที่เห็นท่าน” เย่วซินเอ่ยอธิบายให้เขาเข้าใจเจตนาของตนเอง
“เช่นนั้นหรือ?ก็ดี...” จ้าวไท่เหว่ยไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีกหันหน้ามองกองไฟพร้อมกับเอากิ่งไม้เขี่ยเล่นไปมา ไม่นานร่างเล็กก็หลับลงพร้อมเอนศีรษะมาซบกับบ่าแกร่ง จ้าวไท่เหว่ยสะบัดผ้าคลุมกายผืนใหญ่ของตนห่มให้ร่างเล็กด้วยอีกคนเพราะในนี้อากาศค่อนข้างหนาวมาก จากนั้นไม่นานเขาก็นั่งหลับตาลงเช่นกัน..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...