เช้าวันรุ่งขึ้นเย่วซินลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนหนุนตักท่านประมุขจ้าวอยู่อย่างสบายกายแต่ท่านประมุขจ้าวกลับนั่งหลับหลังพิงโขดหิน อย่าบอกนะว่าเขานั่งอยู่อย่างนี้ทั้งคืนเมื่อยตายเลย เย่วซินคิดในใจแต่ยังไม่ได้ขยับกายลุกขึ้นเพียงนอนลืมตาจ้องมองบุรุษหน้าหล่อที่ดูไปดูมาถึงเขาจะปากร้ายแต่ก็มีจิตใจดีไม่น้อย
“จะนอนจ้องหน้าข้าอีกนานหรือไม่ข้าเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยทั้งที่ยังไม่ลืมตาขึ้นมามอง เขาตื่นตั้งนานแล้วแต่นางยังนอนหนุนตักเขาสบายอยู่จึงไม่อยากปลุก
“อ้อ...ข้าขอโทษท่านคงเมื่อยแย่ข้าเผลอนอนหนุนตักท่านเมื่อใดไม่รู้ตัวเลย” เย่วซินเอ่ยพร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
จ้าวไท่เหว่ยลุกขึ้นยืนแม้ตอนนี้ขาทั้งสองข้างของตนจะรู้สึกชาไปหมด นางหนุนตักเขาเมื่อไรนะหรือก็ทั้งคืนเลยนั่นแหละนางช่างกินง่ายอยู่ง่ายเสียจริงทั้งที่ปากบอกว่ากลัวแต่กลับนอนหลับได้อย่างสนิทราวอยู่จวนตัวเอง
“ท่านจะไปไหน?” เย่วซินเอ่ยถามเมื่อเห็นคนตัวสูงก้าวเท้าเดิน
“ด้านนอกมีน้ำตกเล็กๆอยู่ไปล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยหาทางออกจากที่นี่”
เย่วซินเดินตามคนตัวสูงออกมาจากถ้ำก็พบว่าด้านนอกมีธารน้ำตกเล็กๆอยู่ เย่วซินเดินไปยังธารน้ำแล้วถอดรองเท้าถุงเท้าออกลงแช่เท้าให้ผ่อนคลายพร้อมวักน้ำขึ้นมาลูบหน้าบ้วนปาก เย่วซินหยิบสมุนไพรที่ตนเองผสมเพื่อปากสะอาดสดชื่นออกมเคี้ยวๆแล้วคายออกบ้วนปากตามอีกหนแค่นี้ก็สดชื่นขึ้นมามากเลยเดียว
“ข้าให้ เคี้ยวๆแล้วคายออกนะ” เย่วซินส่งสมุนไพรที่ปั้นเป็นเม็ดส่งให้คนตัวสูง
“มันคืออะไรหรือ?” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยถามพร้อมยื่นมือไปรับของจากมือเรียวขึ้นมาดม
“สมุนไพรทำให้ปากสะอาดหอมสดชื่น”
จ้าวไท่เหว่ยลองเคี้ยวๆอย่างที่นางบอกก็รู้สึกเย็นสดชื่นหอมกลิ่นดอกไม้อ่อนๆแถมกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่เขาชอบเสียด้วย จากนั้นก็คายออกแล้วบ้วนปากอีกสองสามที
“เย็นสดชื่นแถมยังหอมอีกด้วย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยบอก
“ใช่ไหมล่ะ...ข้าคิดสูตรนี้ขึ้นมาเองเลยนะ ห๊อม..หอม” เย่วซินเอ่ยพร้อมยกมือสองข้างขึ้นมาป้องปากทดสอบลมหายใจที่หอมสดชื่น
จ้าวไท่เหว่ยมองร่างเล็กพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ นางเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใครจริงๆทั้งกิริยาท่าทางแต่กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้ทุกครั้ง เมื่อมองไปยังใบหน้างามที่บัดนี้แม้จะมีรอยแดงเป็นริ้วที่บริเวณแก้มซ้ายแต่เขากลับมองว่ามันไม่สามารถกลบความงามของนางให้ลดลงไปได้เลย
“รีบขึ้นมาเถิดน้ำเย็นมากเท้าของเจ้าคงซีดเปื่อยแล้วกระมัง”
“เจ้าค่ะ” เย่วซินรีบขึ้นจากน้ำใส่ถุงเท้ารองเท้าอย่างว่าง่ายเพราะอยากจะรีบหาทางกลับเต็มที ป่านนี้ท่านลุงจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้จะรีบเดินทางไปหาแท้ๆแต่ดันเกิดเรื่องขึ้นเสียได้
ทั้งสองเดินหาทางออกเพียงไม่นานก็เจอเข้ากลับแปลงดอกไม้ขนาดใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งสวยงามแต่ที่ไม่สวยงามก็เห็นจะเป็นแมลงจำนวนมากที่ตอมกินน้ำหวานอยู่
“นี่มัน...” เย่วซินตาโตอย่างตกใจ
“แมลงพิษ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ย
“ที่นี่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หรือ?แสดงว่ามันเป็นของพรรคอสรพิษหรือ?” เย่วซินเอ่ยถาม
“น่าจะเป็นเช่นนั้น เรารีบหาทางออกกันเถอะ” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยพร้อมกันเดินเลี่ยงออกมาอีกทาง เดินออกมาได้เพียงครู่จ้าวไท่เหว่ยรีบดึงร่างเล็กมาไว้ในอ้อมกอดแล้วหมุนตัวหลบบางสิ่งที่พุ่งมายังพวกตน
“มีผู้บุกรุกจับตัวไปให้นายท่าน” เสียงทุ้มเอ่ยจากนั้นก็มีมีดบินอีกหลายจำนวนส่งมายังทั้งสองร่าง จ้าวไท่เหว่ยหลบหลีกคมมีดได้ทั้งหมดอย่างง่ายดายโดยที่ตัวเองยังไม่ยอมปล่อยร่างเล็กออกจากอ้อมแขน
จากนั้นก็มีชายชุดดำหลายจำนวนพุ่งเข้ามา จ้าวไท่เหว่ยหยิบกระบี่ออกมาต่อสู้ด้วยแววตาวาวโรจน์ไร้ความปราณี เขาต้องต่อสู้กับคนหลายจำนวนและยังต้องคอยคุ้มกันร่างเล็กแต่นั่นกลับไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด
ชายชุดดำเมื่อเห็นว่าคนของตนสู้ไม่ได้จึงยกขลุ่ยขึ้นมาเป่าเรียกแมลงพิษที่เลี้ยงเอาไว้ออกมาจัดการ เหล่าแมลงพิษกรูกันมามากมายพวกมันเหมือนรู้คำสั่งพุ่งเข้าใส่ศัตรูหวังกัดกินเลือดอย่างหื่นกระหาย
“ท่านประมุขระวังแมลงพิษ” เย่วซินเอ่ยบอกคนตัวสูงที่กอดรัดนางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เขายกกระบี่ขึ้นมาตวัดใส่เหล่าแมลง แต่ด้วยมันมีจำนวนมากและตัวเล็กจึงเผลอโดนพวกมันกัดเอาบ้าง
“ความซุกซนของเจ้านับว่ามีประโยชน์ไม่น้อย” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเย้าแล้วเอ่ยต่อ “รีบไปกันเถิดประเดี๋ยวพวกมันจะแห่กันมาอีก” เอ่ยจบก็เดินนำร่างเล็กไปทางที่คิดว่าน่าจะเป็นทางเข้าออกของสถานที่แห่งนี้
“เจอทางออกจริงๆด้วย” เย่วซินเอ่ยอย่างดีใจเมื่อเห็นช่องทางเล็กๆด้านหน้า
“สมกับเป็นพรรคอสรพิษมันใช้พิษปิดทางเข้าออก” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยเมื่อเห็นกลุ่มหมอกควันลอยฟุ้งอยู่เหนืออากาศ
“ข้าคือใคร...ข้าคือผู้เชี่ยวชาญด้านพิษพิษแค่นี้ไม่ระคายผิวข้าหรอก” เย่วซินเอ่ยพร้อมกับเตรียมก้าวเท้าออกเดิน
“เดี๋ยวก่อน แล้วข้าเล่าข้าไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษเช่นเจ้านะ” จ้าวไท่เหว่ยรั้งแขนร่างเล็กเอาไว้ นี่นางคิดจะให้เขาฝ่าหมอกพิษไปอย่างนั้นหรือ
“ท่านมากับข้าไม่ต้องกลัว ท่านอย่าลืมสิว่าร่างกายของท่านต้านพิษได้ส่วนหนึ่ง” เย่วซินเอ่ยบอก
“ก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ย
“ท่านก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส หมอกพิษด้านหน้าคือด่านทดสอบว่าร่างกายของท่านสามารถต้านพิษได้มากน้อยเพียงใด โอกาสดีๆเช่นนี้หายากอยู่นา...” เย่วซินเอ่ยชี้แจง
“ข้าอยากรู้นักว่าสมองของเจ้ามันมีสิ่งใดอยู่ข้างในถึงได้มีความคิดที่ดีเช่นนี้” จ้าวไท่เหว่ยเอ่ยประชด
“แน่นอนว่าสมองของข้าย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน” เย่วซินเอ่ยพร้อมยกยิ้ม จะให้ธรรมดาเหมือนคนทั่วไปได้อย่างไรก็สมองของนางมันผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงสองชาติภพเชียวนะ
ทั้งสองก้าวเดินเข้ามายังหมอกพิษเบื้องหน้า เย่วซินหมุนตัวพร้อมกางแขนคล้ายรับโอโซนบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่เจออะไรเช่นนี้ ร่างกายที่ผ่านพิษมายาวนานนับสิบปีนับว่าไม่เสียเปล่าพิษพวกนี้มันไม่สามารถทำร้ายนางได้แต่ก็นับว่ามันร้ายแรงไม่น้อยถ้าคนทั่วไปเมื่อสูดดมเข้าไปอาจตายได้ทันที
จ้าวไท่เหว่ยเดินอยู่เบื้องหลังมองร่างเล็กแล้วส่ายศีรษะเบาๆกับท่าทางดีใจที่ได้สูดหมอกพิษ มีใครบ้างที่จะแสดงอาการเช่นนี้กันนับว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว เขาจะใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงผ่านหมอกนี้ไปในคราแรก แต่เมื่อคิดอีกทีก็เท่ากับว่าเปิดเส้นลมปราณให้พิษแทรกซึมเข้าโดยง่าย จึงใช้วิธีเดินเข้ามาและร่างเล็กก็คงรู้อยู่ก่อนแล้วนางถึงเดินนำหน้าเขา จ้าวไท่เหว่ยรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยังพอที่จะอดทนอดกลั้นได้อีกไม่กี่อึดใจก็จะผ่านพ้นได้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน
รอนะคะ อัพต่อหน่อยค่า...