บทที่ 663 อัศวินยามพลบค่ำ
ภายใต้แสงสว่างยามเช้า นอกจากเย่หนานเทียนแล้ว ก็ยังมีทหารคนแก่ที่เกษียณอายุแล้วเดินเล่นอยู่ริมลำธาร หลังจากที่พวกเขาเห็นเย่หนานเทียน ต่างก็จะยิ้มทักทาย ยังมีคนพูดคุยกับเย่หนานเทียนด้วย
คำพูดกับแววตาของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความนับถือ
อย่างที่หนึ่ง เย่หนานเทียนเคยเป็นความภาคภูมิใจของสหพันธ์บูโด มีอิทธิพลต่อวงการศิลปะการต่อสู้ทั่วโลก เคยสร้างชื่อเสียงทำคุณประโยชน์ให้กับสหพันธ์บูโด อย่างนับไม่ถ้วน
ส่วนอีกอย่างหนึ่ง เย่หนานเทียนพบกับความหายนะครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ถูกผู้แข็งแกร่งอันดับเทพรุมทำร้ายจนพิการ หลังจากจมอยู่กับความเสียใจไปสักพัก ก็ได้เข้มแข็งเริ่มต้นขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่เพียงยังคงเป็นครูผู้ฝึกอยู่ในสหพันธ์บูโด ถ่ายทอดประสบการณ์และวิชาความรู้ด้านการต่อสู้ของตนเอง และในการใช้ชีวิตก็ไม่เคยร้องขอ หรือสร้างความลำบากใจให้กับสหพันธ์บูโด
กลับกัน เขาปฏิเสธการที่สหพันธ์บูโดจัดเตรียมผู้พิทักษ์ชีวิตให้กับเขา กิจกรรมในชีวิตประจำวันทุกอย่างล้วนพึ่งตนเอง เขาไม่มีภรรยา ไม่มีลูก และก็ไม่มีญาติพี่น้อง
คนคนหนึ่งที่ไม่มีญาติพี่น้องและเป็นคนพิการที่ไม่สามารถยืนขึ้นมาได้ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ จะต้องมีความเข้มแข็งและอดทนขนาดไหน?
ไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนต่างก็ชื่นชม เขามาก
หลังจากครึ่งชั่วโมง เย่หนานเทียนบังคับล้อรถเข็นด้วยตัวเอง ย้อนกลับที่พักตามริมถนนยางมะตอย แล้วก็มองเห็นรถธงแดงพร้อมป้ายทะเบียนทหารจอดอยู่ตรงทางเข้าอาคารเล็กๆ
“ศิษย์พี่”
ภายในรถ เฉินเฟิงเห็นเย่หนานเทียนผลักรถเข็นของเขากลับไปที่อาคารหลังเล็ก ในใจสั่นไหวเล็กน้อย แล้วก็รีบลงจากรถไปรับเขา
“เสี่ยวเฟิง คุณมาแล้วหรือ”
เย่หนานเทียนหยุดรถเข็น มองดูเฉินเฟิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมกับภาคภูมิใจ ถึงแม้เขากับเฉินเฟิงจะมีความสัมพันธ์กันเพียงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่ในความหมายบางอย่าง เฉินเฟิงกลับถือได้ว่าเป็นญาติพี่น้องของเขา เพียงคนเดียวบนโลกนี้ เพราะตอนนั้นหลังจากเซียวกั่วจง รับเฉินเฟิงมาเป็นศิษย์ผู้สุดท้าย แต่ก็ไม่ได้สอนอะไรเฉินเฟิง แต่ได้เอาเฉินเฟิงให้กับเขา ดังนั้นเขานับว่าเป็นศิษย์พี่ของเฉินเฟิง และเป็นกึ่งอาจารย์ของเฉินเฟิง
ตอนนี้เห็นเฉินฆ่าเฟิงทายาทตระกูลจิ่ง เขาจึงภาคภูมิใจในตัวเฉินเฟิงมาก
ไม่มีคำตอบ
เฉินเฟิงยืนอยู่ที่เดิม มองดูเย่หนานเทียนที่อยู่ด้านหน้า อย่างรู้สึกหดหู่
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า เย่หนานเทียนที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพลต่อทุกประเทศในวงการศิลปะการต่อสู้ ไม่มีความสง่างามเหมือนในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาในตอนนี้ เหมือนคนแก่ก่อนวัยอันควรคนหนึ่งมากกว่า ผมขาวหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย บนร่างกายเต็มไปด้วยความชรา
“ศิษย์พี่ หาคนอยู่เป็นเพื่อนสักคนไหม?” เฉินเฟิงพูดขึ้นด้วยสายตาแดงก่ำ
“ไม่ต้อง ผมคนเดียวก็สบายดี”
เป็นอย่างที่เขาพูด ตอนนี้เฉินเฟิงมีศัตรูเยอะมาก หนึ่งในนั้นก็คือวงการศิลปะการต่อสู้ประเทศญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลอันทรงพลัง หากไม่มีความสามารถที่แข็งแกร่ง อาจจะถูกฆ่าในต่างประเทศ
“ว่างใจเถอะ ศิษย์พี่ ผมจะรักษาชีวิตของตนเองเป็นอย่างดี จะมีชีวิตที่ดีต่อไป จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ไปตามคิดบัญชีพวกศัตรูที่รุมทำร้ายคุณในตอนนั้นทีละคน”
เฉินเฟิงพยักหัวอย่างหนักแน่น หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง พูดถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ว่า “ใช่ ศิษย์พี่ ตามที่ประธานก่วนหนานเทียนพูด ทายาทพระพุทธเจ้าแห่งศาสนาพุทธภาคตะวันตก ทายาทราชาดาบ ทายาทตระกูลจีกับทายาทสำนักกระบี่เทียนซาน ต่างก็จะมาแข่งขันชิงตำแหน่งตัวแทนการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก ตอนนั้นคุณต่อสู้กับผู้คนจากสำนักทั้งสี่นี้ น่าจะพอรู้ลักษณะศิลปะการต่อสู้ของพวกเขา เล่าให้ผมฟังได้ไหม?”
“พระพุทธเจ้าแห่งศาสนาพุทธภาคตะวันตก เป็นสาขาหนึ่งของพระพุทธศาสนาโบราณ ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ในที่ต่างในเขตทิเบตตอนใต้ ดังนั้นศิลปะการต่อสู้จึงเน้นหมัดมวยเป็นหลัก มีลักษณะร่างกายแข็งแรง กำปั้นหนักแน่น เน้นความดุร้าย”
“ส่วนราชาดาบ ในความเป็นจริงพวกเขาเป็นลูกหลานตระกูลศิลปะการต่อสู้แห่งตระกูลหวัง ตอนนั้นเพลงดาบตระกูลหวังเป็นที่น่าเกรงขามในวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย ต่อมาถูกปฏิเสธ สมาชิกในตระกูลค่อนข้างน้อย พอมาถึงปัจจุบัน ก็แทบไม่มีทายาท แต่เพลงดาบของตระกูลหวัง ถูกถ่ายทอดสืบต่อมาได้อย่างดี กระบวนเพลงดาบ ถูกขนานนามว่ามีความเผด็จการ และทรงพลัง เคยมีตำนานเล่ากันว่า นักดาบตระกูลหวัง หากชักดาบแล้ว ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เพลงดาบของตระกูลหวัง สำคัญที่มุ่งเน้นการฆ่าเพียงอย่างเดียว”
“สำนักกระบี่เทียนซาน เคยเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย เป็นที่รู้จักในด้านการใช้ดาบ วิชาดาบของสำนักนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแปลกประหลาด เน้นที่ความแปลกประหลาด”
“ตระกูลจีกับตระกูลจิ่งเหมือนกัน มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย รวดเร็วที่สุดในศิลปะการต่อสู้ในโลก นักต่อสู้ตระกูลจี มีความสามารถตามอย่างที่ถูกขนานนาม เน้นความรวดเร็ว”
“ดุ ฆ่า แปลก เร็ว สีคำนี้แสดงถึงพื้นฐานลักษณะการต่อสู้ ของพระพุทธเจ้าแห่งศาสนาพุทธภาคตะวันตก ราชาดาบ สำนักกระบี่เทียนซานกับตระกูลจี” เย่หนานเทียนหวนคิดถึงการแข่งขันการต่อสู้ในตอนนั้น หลอมรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทั้งสี่นี้ เป็นคำตอบให้กับเฉินเฟิง และคาดเดาว่า “ความสามารถของทายาททั้งสี่สำนักนี้ น่าจะไม่ด้อยกว่าทายาทตระกูลจิ่ง หากเป็นอย่างที่คุณพูด พวกเขาจะชิงตำแหน่งตัวแทน การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกเพียงคนเดียวกับคุณนั้น คุณจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
“ศิษย์พี่วางใจ ผมไม่มีทางประมาทศัตรูเด็ดขาด” เฉินเฟิงพยักหัว แล้วก็มองดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆขึ้นมาทางตะวันออก พูดขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า “หากพวกเขาที่ร่วมแย่งชิงเพื่อเป็นตัวแทนในการแข่งขันนั้น ก็ควรที่จะออกมาแล้ว ผมจะรอรับมือกับพวกเขา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...