บทที่ 666 วิชาหายใจที่ลึกลับ
“ตุบ”
ชั่วอึดใจก็มีเสียงหนักๆดังขึ้นครั้งหนึ่ง ร่างใหญ่โตของหมีดำล้มลงกับพื้นก่อนจะกระตุกเกร็งพักหนึ่งแล้วแน่นิ่งไป
ฆ่าหมีได้ในดาบเดียว ร่างกายเปื้อนไปด้วยเลือด
ใบหน้าของฉู่เหอไม่มีแววของความดีใจ มีเพียงความเย็นชาเท่านั้นบวกกับร่างกายที่เปื้อนไปด้วยเลือดและกลิ่นอายนักฆ่าที่แผ่ซ่านออกมาส่งผลให้เขาดูเป็นคนกระหายเลือด
ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นอกจากฝึกการต่อสู้แล้วเขาก็ต้องพบเจอกับเลือดทุกวัน สัตว์ป่าที่ตายด้วยน้ำมือเขานั้นมากมายจนนับไปถ้วน
นอกจากนี้เขายังเคยฆ่าคนแถมยังไม่ใช่แค่คนเดียวเสียด้วย
เพื่อเป็นการฝึกฝนวิชาของฉู่เหอ หวังอีเตาเคยให้คนรับภารกิจฆ่าคนอย่างลับๆแล้วมอบหมายให้เขาไปทำ!
“อาจารย์!”
ในขณะที่ฉู่เหอกำลังจะหันหลังจากไป ก็มีชายแขนด้วนวัยกลางคนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เขาจึงรีบปรี่เข้าไปทักทายและค้อมตัวทักทายด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง
เพราะว่าหวังอีเตาคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เขาเคารพและผูกพันที่สุดในชีวิต!
“เตรียมตัวเร็วเข้า เราจะไปจากที่นี่” หวังอีเตาเอ่ยเสียงต่ำ
“อาจารย์ ครั้งนี้อาจารย์รับภารกิจอะไรให้ผมหรือ?”
ฉู่เหออดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ ที่ผ่านมาทุกครั้งที่หวังอีเตาพาเขาไปด้วยล้วนมีภารกิจที่ต้องทำ พูดให้ถูกคือไปฆ่าคน
“ครั้งนี้ไม่ใช่ไปทำภารกิจแต่ไปลบล้างความอัปยศ!” ม่านตาของหวังอีเตาหดแคบลงพลางกัดฟันเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ลบล้างความอัปยศหรือ?” ฉู่เหอเกิดความสงสัย
“การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้แต่ละประเทศมีโควตาเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น ทางสหพันธ์บูโดคัดเลือกผู้สมัครไว้สามสี่คน จากนั้นจะให้ผู้สมัครมาแย่งชิงโควตาเพียงหนึ่งเดียว”
หวังอีเตาเอ่ยอธิบาย “หนึ่งในผู้สมัครคือแกและศิษย์น้องของเย่เทียนหนาน!”
“อย่างนี้นี่เอง!” ฉู่เหอกระจ่างในทันที
“หวังว่าแกจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง” หวังอีเตามองหน้าฉู่เหอด้วยแววตาลึกซึ้ง
ในตอนแรกเพื่อที่จะให้คนนอกอย่างฉู่เหอมาสืบทอดศิลปะการต่อสู้ตระกูลหวัง เขาแทบจะแตกหักกับสมาชิกตระกูลหวังคนอื่นๆ ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังยืนหยัดในการตัดสินใจของตนเอง
“ตระกูลหวังล่มสลายไม่เป็นไรแต่ศิลปะการต่อสู้ตระกูลหวังจะล่มสลายไม่ได้และจะไม่มีการสืบทอดต่อไม่ได้เด็ดขาด ความอัปยศของตระกูลหวังต้องถูกลบล้าง!” นี่คือประโยคที่หวังอีเตาเคยเอ่ยกับคนในตระกูลเมื่อครั้งแตกหักกัน
และเป็นเพราะประโยคนี้เองที่ทำให้หวังอีเตาโน้มน้าวคนในตระกูลได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ในฐานะทายาทตระกูลหวังอย่างเขาเคยพ่ายแพ้ให้กับเย่หนานเทียน!
นั่นคือความอัปยศที่สุดในชีวิตของเขารวมถึงตระกูลหวัง!
และที่เขาเลือกฉู่เหอเป็นทายาทก็เป็นเพราะเขาเห็นพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ของฉู่เหอ หวังว่าสักวันฉู่เหอจะแข็งแกร่งขึ้นและลบล้างความอัปยศให้แก่ตระกูลหวัง!
เพื่อบรรลุเป้าหมายในข้อนี้ เขาไม่เพียงแต่ถ่ายทอดวิชาดาบของตระกูลหวังให้แก่ฉู่เหอเท่านั้น เขายังมอบดาบซวนหยวนซึ่งเป็นดาบประจำตระกูลหวังให้แก่ฉู่เหอ อีกทั้งยังตั้งใจออกแบบแผนการฝึกวิชาทั้งหลายแก่ฉู่เหออีกด้วย
“วิชาหายใจที่อาจารย์ถ่ายทอดให้พวกเรานั้นไม่ธรรมดาเลย”
บริเวณไม่ไกล เย่หนานเทียนที่นั่งอยู่บนรถเข็นเมื่อเห็นเฉินเฟิงลืมตาขึ้นก็อดที่จะเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
ระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เฉินเฟิงฝึกวิชา เย่หนานเทียนจะคอยดูอยู่ข้างๆเสมอ ถึงแม้เขาและเฉินเฟิงจะฝึกวิชาหายใจแบบเดียวกัน ทว่าในตอนนั้นเขาเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของวิชาหายใจทว่าตอนนี้เฉินเฟิงทำได้แล้ว
และนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้เฉินเฟิงผ่านมาถึงขั้นหั้วจิ้งได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบห้าปี!
ในตอนนี้ในระหว่างการหายใจเข้าออกของเฉินเฟิงราวกับมีสัมผัสบางอย่างระหว่างฟ้าดิน ดั่งฟ้าดินรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“อาจารย์บอกว่าวิชาหายใจนี้มีนักบวชเต๋าท่านหนึ่งถ่ายทอดให้กับเขาในยุคสงคราม ดูจากในตอนนี้นักบวชเต๋าท่านนั้นคงมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา” เฉินเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ที่เซียวกั่วจงได้เป็นถึงมหาปรมาจารย์ก็เป็นเพราะวิชาหายใจนี้ แล้วนักบวชเต๋าเจ้าของวิชาหายใจนี้จะมีความสามารถที่น่ากลัวสักเพียงใด?
“ลำดับขั้นของนักบวชเต๋าท่านนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่แกและฉันจะคาดเดาได้ แต่จากที่ฉันรู้บนโลกนี้ยังมีวิชาหายใจแบบอื่นอีก” เย่หนานเทียนเอ่ยเสียงต่ำ
“ศิษย์พี่ บนโลกนี้ยังมีวิชาหายใจแบบอื่นอีกหรือ?” เฉินเฟิงใจกระตุกครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“มี”
เย่หนานเทียนพยักหน้าตอบก่อนเอ่ย “วิชาหายใจที่แกเรียกอยู่มีชื่อเรียกที่ถูกต้องคือพลังภายใน ในวงการศิลปะการต่อสู้ยุคโบราณ จอมยุทธ์ต้องฝึกพลังภายในก่อนแล้วค่อยฝึกกระบวนท่าในการต่อสู้ แต่สังคมพัฒนามาจนถึงปัจจุบันซึ่งเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีแล้ว ศิลปะการต่อสู้จึงสูญหายไปรวมถึงขาดการสืบทอดต่อ วงการศิลปะการต่อสู้ในยุคปัจจุบันนอกจากศิลปะการต่อสู้แห่งตระกูลใหญ่แล้วก็แทบจะไม่มีใครรู้จักพลังภายในแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฝึกฝน”
“แสดงว่าจิ่งเถิงคนที่ผมฆ่าก็ฝึกพลังภายในด้วยใช่ไหม?” เฉินเฟิงกระจ่างในทันทีก่อนเอ่ยถาม
“อืม เหมือนที่ฉันบอกไป รวมถึงตระกุลจิ่ง ศิลปะการต่อสู้แห่งตระกูลใหญ่ สำนักและอำนาจมืดที่ถ่ายทอดมายาวนานเหล่านั้น อีกทั้งแต่ละที่ก็มีการถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ที่สมบูรณ์ต่อๆกันมา รวมถึงพลังภายใน และเพราะเหตุนี้พวกเขาถึงผ่านเข้าขั้นหั้วจิ้งได้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
เย่หนานเทียนพยักหน้าน้อยๆพลางเอ่ยอธิบาย “ก่อนอายุสามสิบไม่มีขั้นหั้วจิ้ง ประโยคนี้มีไว้สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกพลังภายในมาก่อน แน่นอนว่าถึงแม้จะฝึกพลังภายใน แต่ก็จะมีเพียงอัจฉริยะในอัจฉริยะเท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าขั้นหั้วจิ้งได้ก่อนอายุสามสิบ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...