ลูกเขยมังกร นิยาย บท 838

แล้วคำพูดแบบนี้จะทำให้ชิงจือพึงพอใจได้อย่างไร ตอนนี้เธอมองไปยังชายชราหยางด้วยความโมโห แต่อาจเป็นเพราะความสนิทชิดเชื้อ ทำให้เธอไม่ได้ลงมือทำอะไร

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคุณถึงได้ทำแบบนี้ แต่นับตั้งแต่เริ่มสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของที่พวกเราควรจะไปแตะต้องอยู่แล้ว คุณทำมันหายไป คุณก็รู้ดีว่าหากคนอื่นๆ รู้เข้า พวกเขาจะทำอย่างไรกับคุณ ?”

“ฉันรู้ตั้งนานแล้วหล่ะ” ชายชราหยางยิ้มออกมาด้วยความเศร้าหมอง

“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เคยคิดเสียใจที่ทำแบบนี้”

ทันใดนั้นสีหน้าโกรธเคืองของชิงจือก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอเพียงแต่ตอบกลับอย่างเรียบเฉย

“ฉันจะไม่พูดเรื่องที่ฉันได้รู้ออกไป แต่ข่าวนี้ก็คงจะปิดบังได้อีกไม่นานเท่านั้น มีคนในกลุ่มพวกเขาสามารถตรวจสอบทิศการเคลื่อนไหวของสิบสองเม็ดบัวได้ และส่วนที่คุณทำหายไปยังไงพวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณคนเดียวแล้ว”

ในตอนที่ชิงจือพูดจบ เฉินเฟิงสามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่าเธอสะกดอารมณ์ไม่พอใจของเธอเอาไว้จนมิด โดยที่น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความผิดหวัง

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินเฟิงเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากที่สุดก็คือสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้าที่ชิงจือพูดถึงนั้น

เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่จากตัวเลขสิบสองจำนวนเขาเคยได้ยินชิงชิวพูดถึงจำนวนของเหล่ามหาปรมาจารย์ก่อนหน้านี้ และหากนำมาเปรียบเทียบกันแล้วสิบสองเม็ดบัวนั่นคงจะเป็นของที่เหล่ามหปรมาจารย์ทั้งสิบสองคนได้ครอบครองเอาไว้

แต่ว่าของแบบนั้นมันมีประโยชน์ในการใช้งานอย่างไรกันแน่ เฉินเฟิงหันไปจ้องชิงจือ เขาไม่กล้าถาม เพราะต่อให้ถามไปก็คงจะไม่ได้คำตอบอะไรตามเดิม

และในเมื่อตอนนี้ชายชราหยางได้ปฏิเสธคำขอของชิงจือไปแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อ

แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินทางกลับ หยางสิงอี้กลับดึงตัวเฉินเฟิงเอาไว้

เฉินเฟิงที่ถูกเขาพาไปอีกทางกล่าวถามขึ้นอย่างสงสัย

“มีเรื่องอะไรถึงต้องคุยกับผมเพียงลำพังแบบนี้?”

หยางสิงอี้ตอบกลับอย่างจริงจัง “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้?”

เฉินเฟิงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

“เรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับผม ปกติแล้วผมจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยหรอกนะ”

แต่ทันใดนั้นสีหน้าของหยางสิงอี้ก็หมองลง ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยความหดหู่

“ที่แท้คุณก็เดาได้แล้วสินะ หึ ผมกำลังคิดอยู่พอดีเลยว่าจะทำอย่างไงให้คุณ …… แต่ช่างมันเถอะ”

เฉินเฟิงมองเขา สิ่งที่หยางสิงอี้พูดมาทั้งหมดนี้ต่อให้เป็นเรื่องเมื่อคืนนี้หรือเป็นเรื่องที่มีคนตายในเช้าตรู่วันนี้ แต่หลังจากที่รู้เรื่องว่าไอ้ผมแดงตายไป เฉินเฟิงก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นฝีมือของหยางสิงอี้เลย แต่พอสังเกตเห็นหยางสิงอี้ที่พยายามหลบสายตาเวลาที่มองเขา เขาถึงได้คิดว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่เขาจะทำ

แต่อย่างที่เฉินเฟิงเคยบอกเอาไว้ เรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา เขาจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยเด็ดขาด และยิ่งไปกว่านั้นไอ้ผมแดงก็ไม่ใช่คนดีอะไรด้วย

ตอนนี้หยางสิงอี้ยังคงไม่เชื่อใจในคำพูดของเฉินเฟิง จนเขานิ่งเงียบไปนานหลายวิ

“ผมจะบอกกับคุณเรื่องที่อยู่ของสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้า แลกกับการที่คุณจะเก็บความลับเรื่องนี้เอาไว้”

เฉินเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรอยู่แล้ว แต่ในเมื่อตอนนี้หยางสิงอี้เป็นฝ่ายเสนอมา เขาก็ไม่อาจที่จะเสียมารยาทได้ ฉะนั้นเขาเลยยักไหล่เป็นการรับข้อเสนอ

“ข้อเสนอนี้ถือว่ามีความสมเหตุสมผล แต่ผมจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณพูดมาคือความจริง ในเมื่อชายชราหยางพ่อของคุณยังไม่ยอมที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา คุณก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้นี่หน่ะ”

ถึงแม้ว่าเฉินเฟิงจะพูดแบบนั้น แต่หยางสิงอี้กลับตอบเขาอย่างไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง

“ที่ผมบอกคุณก็เพื่อพ่อของผมเอง เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นความรับผิดชอบของเขาด้วยซ้ำ และเพียงแค่เพราะความรับผิดชอบในคำมั่นสัญญา เขาถึงต้องทำหน้าที่นั้นตราบจนวันสุดท้ายกว่าชีวิตจะดับหายไป”

เฉินเฟิงนิ่งเงียบ ตอนนี้เขาเพียงไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของมัน เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“แต่ว่าหลังจากที่ผมบอกคุณไปแล้ว สิ่งแรกเลยคุณอย่าพูดเรื่องของผมออกไปให้ใครรู้ และสิ่งที่สองคือทางที่ดีคุณและผู้หญิงคนนั้นอย่าคิดที่จะไปตามหามันเด็ดขาด เพราะพ่อเคยบอกเอาไว้ว่าคนที่ดูแลเม็ดบัวนั้นเป็นคนที่ร้ายกาจอย่างมาก”

เฉินเฟิงพยักหน้ารับคำของเขา สำหรับเรื่องของหยางสิงอี้เดิมทีเขาไม่เคยคิดมากอะไรอยู่แล้ว แต่เรื่องของเม็ดบัวนั่นจะตัดสินใจอย่างไร เขาอาจจะต้องพูดคุยกับชิงจือให้ชัดเจนก่อน หรืออาจจะเก็บเอาไว้คนเดียว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ผิด

“ผมเข้าใจแล้ว”

นี่ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลที่สุด เฉินเฟิงคิดว่ายังไงซะชิงจือคงจะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธแน่นอน แต่เมื่อได้ยินคำตอบว่าไม่ได้จากปากของชิงจือ เฉิยเฟิงถึงกับต้องตะลึงทันที

“ทำไมล่ะ คุณไม่อยากรู้ที่อยู่ของเม็ดบัวอันนั้นหรอ?”

ชิงจือตอบกลับ

“นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณ ถ้าหากฉันพูดออกไป คุณก็จะถูกลากเข้ามาพัวพันด้วย ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นผลดีต่อคุณหรอกนะ”

เฉินเฟิงนิ่งอึ้งไปทันที “คุณพูดแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมเกิดความอยากรู้มากกว่าซะอีก”

ชิงจือเหลียวหันไปมองเขา “คุณอยากจะรู้จริงๆ หรอ นี่อาจจะต้องแลกด้วยชีวิตเลยนะ”

เฉินเฟิงรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องแบบนี้ เพราะพลังของเขาถูกสะกดเอาไว้ในแดนนินจานานเกินไปแล้ว และตัวเขานั้นอยากที่จะบรรลุสู่จุดสูงสุดอย่างมหาปรมาจารย์ตั้งนานแล้วด้วย เพื่อที่จะได้ชื่นชมดินแดนอื่นที่ต่างออกไป

และบางทีสิบสองเม็ดบัวพระพุทธเจ้าอะไรนี้อาจเป็นตัวเบิกทางแห่งโอกาสที่จะทำให้เขาสามารถเข้าไปเจอกับโลกใบใหม่

“ทุกคนมีชีวิตก็เพื่อไขว่คว้าความตื่นเต้น คุณว่าใช่หรือเปล่า?” เฉินเฟิงถามอย่างเฉียบคม

แต่ชิงจือกลับไม่ได้ตอบอะไร เพียงหันไปเหลียวมองโลกที่อยู่นอกหน้าต่างรถ

“ในเมื่อคุณอยากจะรู้ ฉันก็จะถือว่าฉันได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว หวังว่าคุณจะไม่เสียใจภายหลัง”

พูดไป เธอก็พลันครุ่นคิดราวกับว่ากำลังคิดว่าจะเริ่มพูดจากจุดไหนก่อนดี จากนั้นไม่นานเธอถึงพูดออกมา

“เทียนตี้ต้าถง (ฟ้าดินกลมเกลียว) เป็นดินแดนสูงส่งในอุดมคติที่เหล่านักบุญ และคนสมัยก่อนตามใฝ่ฝัน แต่ว่าในขณะการสืบหาความฝันนั้นนักต่อสู้เก่าแก่แห่งหวาเซี่ยได้เกิดการหายสาบสูญไป คุณอาจจะคิดว่ามหาปรมาจารย์ผู้หมั่นในการฝึกฝนอาจไม่จำเป็นต้องไปไล่ตามอะไรอีกแล้ว เพราะนั่นถือเป็นดินแดนสูงสุดในการฝึกวิชาต่อสู้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ ต้าถงต่างหากที่เป็นแดนสูงสุดนั้น”

“ต้าถง?” เฉินเฟิงสงสัย เขาไม่เข้าใจว่ามันหมายความอย่างไร เพราะเขารู้จักแค่เมืองต้าถงที่อยู่ในมณฑลซานซีเท่านั้น

“ต้าถง เดิมทีถูกกล่าวเอาไว้ในคัมภีร์พิธีกรรมว่าเป็นดินแดนแห่งฟ้าดินอันกลมเกลียว เป็นโลกแห่งความสมบูรณ์แบบในอุดมคติ แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าในเวลาเดียวกันที่นั่นก็เป็นดินแดนแห่งการฝึกฝนวิชาการต่อสู้ด้วยเช่นกัน ที่แห่งนั้นสามารถทำให้ร่างกายของเราพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัดและมีความอิสระที่ไร้ข้อผูกมัดใดๆ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร