เมื่อกลับมาถึงรถ เฉินเฟิงเห็นว่าน้ำมันยังเติมไม่เต็มถัง เขาจึงหยิบหัวจ่ายน้ำมันมาเติมน้ำมันเอง
ก่อนจะหันไปคุยกับชิงจือ “การพาเด็กคนนี้ไปด้วยจะต้องเจอปัญหาแบบนี้แน่นอน”
ชิงจือเปิดประตูพลันตอบเขา: “ฉันรู้”
ในเมื่อเธอคิดว่าจะเกิดอะไรก็ช่างมัน เฉินเฟิงจึงได้เพียงแค่นิ่งเงียบยอมรับเท่านั้น
พวกเขาขับรถออกจากปั๊มน้ำมัน เหลือเพียงสถานการณ์วุ่นวายไว้ข้างหลัง ส่วนเยว่เอ๋อก็ดูหวาดกลัวจนเอาแต่หลบอยู่ด้านหลัง ดูจากสีหน้าของเธอในตอนนี้แล้วเหมือนว่าเธอกำลังนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวหนีออกจากบ้าน จึงทำให้เธอยังมีความลังเล
เฉินเฟิงหันไปมองเธอเพียงแวบเดียวโดยไม่สนใจว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรต่อ
หลังจากขับรถมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเยว่เอ๋อก็ยอมเอ๋ยปากพูดออกมา
“หนูทำอะไรผิดไปหรือเปล่า หนูไม่ควรจะทำแบบนี้ใช่หรือเปล่าคะ”
ไม่รู้ว่าเธอกำลังถามใครอยู่ แต่ชิงจือที่กำลังมองดูบรรยากาศนอกหน้าต่างก็ตอบกลับ: “เรื่องแบบนี้ไม่มีถูกหรือผิด เธอโตแล้ว มีความคิดของตัวเอง ไม่ใช่ทุกสิ่งหรอกนะที่จะสามารถยับยั้งเธอเอาไว้ได้”
เฉินเฟิงได้แต่เหลียวมองไปยังชิงจือ คำพูดแบบนี้ดูจะไม่เหมาะกับนิสัยของชิงจือสักเท่าไหร่
“แต่ที่จริงแล้วคุณปู่ก็ดีกับหนูมาก……”
“เธออยากกลับไปงั้นหรอ?” ชิงจือขัดคำของเธออย่างเย็นชา
เยว่เอ๋อที่โดนถามแบบนี้ก็เงียบลงทันที เธออาจจะมีความลังเลอยู่ในใจ
ในขณะที่กำลังขับรถไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งลอยมาติดอยู่หน้ากระจกรถ เฉินเฟิงมองอย่างละเอียดก็พบว่านั่นคือแบงก์หนึ่งร้อยหยวน ซึ่งในตอนที่เขากำลังแปลกใจอยู่นั้น เงินอีกใบก็ลอยผ่านหน้ากระจกข้างไปก่อนจะเห็นเป็นธนบัตรเงินที่โปรยปรายลงมาราวกับสายฝน
แบงก์ธนบัตรสีแดงปลิวว่อนไปด้านหลัง เขาจึงมองไปยังต้นทางที่แบงก์เงินนั้นลอยมาก็เห็นว่ามีคนอยู่ในรถมาเซราติคันสีเหลืองกำลังโปรยเงินออกมา
“ผมมีเงินยังไม่กล้าเล่นพิเรนทร์แบบนี้เลย คนสมัยนี้ไม่มีจิตสาธารณะเลยสักนิด” เฉินเฟิงพูดด้วยความหงุดหงิด
แต่ในขณะที่ขับรถตามหลังไปเรื่อยๆ รถคันนั้นที่อยู่ข้างหน้าก็เริ่มส่ายไปมาบนท้องถนน รถตวาดซ้ายตวาดขวาราวกับว่าคนขับกำลังเมาเหล้าซะอย่างนั้น
เฉินเฟิงที่ขับรถตามหลังไม่กล้าที่จะเร่งความเร็วเพื่อแซงพวกเขาไปเพราะกลัวว่าจะไปโดนอีกฝ่ายชนเข้า
แต่ผ่านไปได้ไม่นาน รถคันหน้าก็เลี้ยวเข้าไปจอดข้างทาง เฉินเฟิงที่กำลังจะขับรถแซงพวกเขาไป แต่ดันมีชายหญิงคู่หนึ่งพุ่งออกมาทำเอาเฉินเฟิงต้องเหยียบเบรคจนสุดเท้าถึงไม่ไปชนเข้ากับพวกเขา
ถึงแม้ว่ารถจะหยุดทันแต่นั่นทำให้เฉินเฟิงรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก จะว่าไปใครที่เจอเหตุการณ์แบบนี้คงไม่มีใครดีใจหรอก
เขาได้แต่จอดรถอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่ชายหญิงคู่นั้นกำลังเดินมายังทางของพวกเขา
เฉินเฟิงหันไปบอกกับหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ในรถ: “ผมจะลงไปดูสักหน่อย” เมื่อพูดจบเขาก็เดินลงรถไป
เขาเดินไปยังหลังรถ อีกฝ่ายเป็นชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่ง ฝ่ายชายแต่งกายอย่างหรูหรา ทั้งตัวของเขาสวมชุดสูทแบรนด์เนม พร้อมด้วยนาฬิการาคาแพง และคาดเข็มขัดที่ประดับหมุดทอง
ทางฝั่งหญิงสาวก็เหมือนกันเธอเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย เมื่อดูจากการแต่งตัวแล้ว เธอสวมใส่ชุดเดรสรัดรูปที่เผยให้เห็นสัดส่วนเว้าโค้งของร่างกาย พร้อมเติมแต่งด้วยสร้อยคอและเครื่องประดับ เธอถือกระเป๋าหนังใบหนึ่งซึ่งดูก็รู้ได้เลยว่าเป็นของแท้แน่นอน
แต่ว่าเฉินเฟิงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาเพียงเดินตรงไปตรงหน้าของพวกเขาก่อนจะตะคอกใส่หน้าของชายหนุ่ม
“รนหาที่ตายหรือไง ทำไมไม่ดูหน่อยว่าที่นี่คือที่ไหน”
เมื่อได้ยินคนกำลังตะคอกใส่พวกเขา ชายหนุ่มจึงหันไปมองเฉินเฟิงโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกผิดต่อความผิดที่ตัวเองได้ทำลงไปเลยสักนิด ทั้งยังตะคอกเฉินเฟิงกลับอีกด้วย
“แกนี่ชอบแส่เรื่องชาวบ้านเสียจริง นี่เป็นบ้านแกหรือไง ฉันอยากจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน แกรีบไสหัวไปซะ”
เฉินเฟิงไม่สนใจอะไรเขาทั้งนั้นก่อนจะเดินเข้าไปต่อยเขาทีหนึ่ง ชายหนุ่มที่โดนต่อยถึงกับสะลึมสะลือ จนหญิงสาวที่เห็นผู้ชายของตัวเองถูกทำร้ายก็เกิดอาการโมโหเลือดขึ้นหน้าทันที
แล้วหันไปตวาดใส่เฉินเฟิง: “ทำไมถึงต้องทำร้ายคนอื่นด้วย บ้าไปแล้วหรือไง”
พูดไป เธอก็เดินเข้าไปประคองชายหนุ่มที่ถูกเฉินเฟิงซัดหมัดใส่คนนั้น ราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้นี้ใครเป็นคนผลักเธอลงมาจากรถ
เฉินเฟิงเองไม่อยากจะไม่สนใจพวกเขา จึงเตรียมจะเดินกลับไปขึ้นรถ
แต่แล้วหญิงสาวคนนั้นกลับเข้ามาจับเฉินเฟิงเอาไว้ก่อนจะตะโกนใส่หน้าเขา : “อย่าเพิ่งไป”
คุณชายหลัวตอบกลับอย่างไม่สนใจ: “ไม่เป็นไร แต่ว่าเจ้าหมอนี้ยังไงซะฉันจะเอามันเข้าคุกให้ได้ นายรู้จักคนนั้นหรือเปล่า ช่วยโทรหาเขาให้ฉันหน่อย”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตวาดเสียงออกมาเช่นกัน: “ใช่ ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด จะต้องให้เขาได้รู้รสชาติของการติดคุกซะบ้าง”
เฉินเฟิงที่เห็นทั้งหมดนี้ได้แต่รู้สึกเยาะเย้ยเท่านั้น จากนั้นชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเข้ามาช่วยเหลือสองคนนั้นก็เดินเข้ามาหาเฉินเฟิง ก่อนจะแสร้งปั้นสีหน้าอ่อนโยนพูดคุยกับเฉินเฟิง
“คุณรู้หรือเปล่าว่ากำลังหาเรื่องกับใคร?”
เฉินเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยความแปลกใจ
“เมื่อกี้ผมถามเขาแล้ว แต่เขาไม่ตอบ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ของเฉินเฟิง ชายคนนั้นก็แสดงท่าทีเหมือนกำลังทุกข์ใจออกมา
“คุณไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรหาเรื่องด้วย คุณแย่แน่ๆ ”
แล้วคุณชายหลัวคนนั้นก็หันมาตะคอกใส่ทางฝั่งเฉินเฟิง: “นายจะพูดอะไรกับมันนักหนา รีบเรียกคนมา ฉันจะเอามันให้ตาย จะให้มันต้องชดใช้จนล้มละลายไปเลย”
ชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาหันมาพูดกับเฉินเฟิงอีกครั้ง
“คุณก้มหน้ารับผิดกับคุณชายหลัว ผมจะช่วยหาทางช่วยเกลี้ยกล่อมแทนคุณ ให้คุณชดใช้น้อยลง”
เฉินเฟิงหัวเราะอยู่ในใจ พลางถามด้วยความสงสัย
“ถ้าผมไม่ยอมรับผิดจะเป็นยังไง?”
ชายคนนั้นได้แต่ส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง: “อย่างนั้นก็ไม่มีทางช่วยแล้ว คุณอาจจะต้องติดคุกไปด้วย พร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย”
เฉินเฟิงตอบกลับ: “แค่นี้หรอ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมก็จะไปแล้ว”
“ทำไมคุณถึงไม่ฟังนะ สิ่งที่ผมพูดคุณไม่เข้าใจหรือไง คุณมีเรื่องกับใคร เขาคนนั้นคือคุณชายหลัวเชียวนะ คุณคิดว่าคุณจะหนีพ้นงั้นหรอ ให้คุณยอมรับผิดคุณกลับไม่ยอมทำ อย่างนั้นคุณก็รอให้ถูกจับไปแล้วกัน”
ชายคนนั้นพูดไปพลางแสดงสีหน้าเอือมระอา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...