ด้วยแสงดาวที่สาดส่องเข้ามาทำให้เฉินเฟิงเห็นเพียงแค่เงาร่างของชิงจือที่กำลังกระซิบเรียกเขา
เฉินเฟิงที่กำลังจะร้องตกใจออกมาจู่ๆ ก็ชะงักลง
และเพียงไม่นานเขาก็รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นนอกตัวรถ ถึงแม้ว่าตรงนั้นจะเป็นเพียงพื้นที่อันมืดมิด แต่ด้วยแสงจากดวงดาวสามารถทำให้เห็นร่างคนกำลังเคลื่อนไหว
ซึ่งจากการสังเกตคนที่อยู่รอบๆ เหมือนจะมีจำนวนประมาณเจ็ดแปดคนก็ว่าได้ ซึ่งทุกคนล้วนกำลังมุ่งหน้ามายังตัวรถอย่างระมัดระวัง
และแน่นอนว่าการเข้ามาด้วยวิธีนี้คงจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ดีกับพวกเขาเป็นแน่
แต่ว่าในเมื่อรู้ตัวแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องแสร้งทำไม่รู้อีกต่อไป อีกอย่างพวกคนที่อยู่ด้านนอกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะชิงจือได้อีกด้วย
เฉินเฟิงหันไปอธิบายถึงแผนการของตัวเองให้กับชิงจือฟัง ชิงจือที่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลงทันที
พวกเขาสองคนเดินลงจากรถ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองถูกจับได้แล้ว
หลังจากที่เฉินเฟิงพวกเขาสองคนลงรถมา ทันใดนั้นก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มเกิดความตระหนกขึ้นมา ก่อนที่หนึ่งในพวกเขาจะกระซิบขึ้นมา
“ใจเย็น!”
และในตอนนั้นเองพวกเขาที่เหลือก็หยุดชะงักลง
“สวัสดีเหล่าสหาย!”
เฉินเฟิงที่ลงมากล่าวทักทายกับพวกเขา
ชายคนที่พูดเมื่อกี้นี้เดินแทรกขึ้นมาข้างหน้า เมื่อได้เห็นหน้าของเฉินเฟิงเขายังคงไม่ได้มีความคิดใดๆ ที่จะลงมือทำร้าย เพียงแต่หยุดชะงักไปเท่านั้น พร้อมกับมองไปยังเฉินเฟิงพวกเขาสองคนด้วยความระมัดระวัง
“นี่จะไม่บอกจุดประสงค์ของพวกคุณหน่อยหรือไง?หรือว่าจะลงมือเลยหล่ะ” เฉินเฟิงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรที่จะต้องพูด ในเมื่อพวกคุณรู้ตัวแล้ว อย่างนั้นก็คงต้องลงมือให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย”
ชายคนนั้นจงใจกดเสียงต่ำลง ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นเสียงเดิมของเขา แต่เฉินเฟิงกลับขัดเขาเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องรีบร้อน ยังไงซะพวกคุณก็หนีไม่รอดอยู่ดี ตอนนี้ผมก็แค่สงสัยเท่านั้นว่าพวกคุณหาพวกเราเจอได้ยังไงเท่านั้น ?”
“เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปสนใจหรอก พวกเราก็แค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาเท่านั้น ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวพวกคุณเองที่ไปหาเรื่องกับคนที่ไม่ควรด้วย”
เฉินเฟิงกล่าวพูดขึ้นมาด้วยความกวน: “พวกเรามีเรื่องบาดหมางกับคนตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณกำลังพูดถึงคนไหน”
ชายคนนั้นกระแอมขึ้นมาก่อนจะพูดด้วยความเย็นชา: “ใกล้จะตายแล้วยังจะมาทำปากดีอีก”
ทันทีที่เขาพูดจบ พวกเขาทุกคนก็กระโจนเข้าไปทันที
เฉินเฟิงก็เข้าไปรับมือพร้อมกับอุทานออกมา: “ในเมื่อพวกคุณไม่ยอมพูดออกมา ถ้างั้นคงต้องสู้จนพวกคุณจะยอมพูดแล้วกัน”
หมัดที่เขาปล่อยออกไปถูกอีกฝ่ายปัดป้องเอาไว้ได้ ในขณะที่ทางฝั่งของชิงจือก็กำลังรับมือกับอีกฝ่ายก่อนจะเตะจนอีกฝ่ายกระเด็นออกไป
นับเป็นครั้งแรกที่เฉินเฟิงได้ร่วมมือกับชิงจือ ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้เหมือนเป็นการที่ชิงจือช่วยให้หเขาได้เกิดความคุ้นชินกับทักษะและความรวดเร็วของดินแดนมหาปรมาจารย์ไปในตัว
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหากได้บรรลุการเป็นมหาปรมาจารย์แล้วจะเกิดความแน่นอนหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าการได้ต่อสู้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้เขาเกิดความคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสามารถคิดหาวิธีต่อกรกับมหาปรมาจารย์ได้อีกด้วย
แต่แล้วความคิดนั้นของเฉินเฟิงก็ถูกทำลายลง จากมุมที่เฉินเฟิงไม่อาจรับรู้ได้ เท้าของชิงจือก็โผล่ขึ้นมาก่อนจะเตะเอาเขาคนนั้นล้มลงไป
นั่นถือเป็นความรวดเร็วที่สุดยอดอย่างมาก ซึ่งไม่ว่าจะพึ่งพาเทคนิคใดๆ ก็ไม่อาจทำลายความรวดเร็วนี้ได้เลย
และในระยะเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาเจ็ดแปดคนก็ล้มกองลงไประเนระนาดกับพื้นแล้ว
“ว่าไง ตอนนี้พูดได้หรือยัง?” เฉินเฟิงหันไปถามกับเขาคนนั้น
แต่แล้วชายคนนั้นกลับปฏิเสธทันที
“ฝันไปเถอะ คุณอย่าได้คิดไปเลย ในเมื่อพวกเรารับภารกิจมา แน่นอนว่าไม่มีทางขายเจ้านายของตัวเองแน่นอน”
เฉินเฟิงยิ้มออกมาจางๆ : “คิดไม่ถึงเลยว่าพวกคุณจะมีความเป็นมืออาชีพรับผิดชอบต่อหน้าที่แบบนี้ แต่เรื่องที่ว่าพวกคุณจะตายอยู่ที่นี่หรือเปล่านั้นมันก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งแล้ว เพราะยังไงต่อให้พวกคุณตายอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดี”
สุดท้ายเหลือเพียงความเอือมระอาที่ไร้หนทาง ในเมื่อตัวเขาเองเป็นคนที่รักษาคำพูด เฉินเฟิงจึงได้เพียงยอมปล่อยเขาไป
แต่กระทั่งชายคนนั้นจากไป สีหน้าของชิงจือเหมือนกำลังครุ่นคิดราวกับว่ากำลังคิดถึงเรื่องบางอย่างอยู่
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงถาม: “นี่คุณรู้หรอว่าเขาคนนั้นคือใคร?”
ชิงจือส่ายหน้าปฏิเสธ โดยไม่มีการอธิบายใดๆ
เฉินเฟิงที่เห็นว่าเธอไม่คิดที่จะอธิบายอะไรต่อ เขาจึงไม่คิดที่จะถามอะไรอีก ก่อนจะกลับขึ้นไปบนรถแล้วพักผ่อน
ส่วนทางด้านหลี่จื่อเยว่เหมือนจะไม่ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนอก จนกระทั่งเธอตื่นขึ้นในวันถัดมาก็รู้สึกว่าเมื่อคืนนี้ได้หลับอย่างสบายไม่น้อยเลย
จากนั้นรถก็กลับมาแล่นบนถนนอีกครั้ง แสงอาทิตย์ที่สาดส่องขึ้นมาจากทิศตะวันออกจนไปตกยังทิศตะวันตก สายลมอันเงียบสงบพัดผ่านไปมา และทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างโดดเดี่ยวและน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้
และแล้วพวกเขาก็ขับรถแล่นมายังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเขาตัดสินใจหาโรงแรมที่เรียบง่ายแห่งหนึ่งเตรียมพักผ่อนในค่ำคืนนี้
ทางด้านหลี่จื่อเยว่ที่เห็นว่าทั้งสามคนไม่จำเป็นต้องเบียดเสียดกันอยู่ในรถแล้วก็ดูจะดีใจอย่างมาก ราวกับลืมความเศร้าโศกที่ตัวเองจากบ้านออกมา
และด้วยความอ่อนล้าจากการเดินทางมาทั้งวัน ทั้งสามคนต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง
เฉินเฟิงปล่อยให้น้ำอุ่นโปรยปรายบนร่างกายของตัวเอง ความอุ่นจากน้ำร้อนที่กระทบกับความเหนื่อยล้าบนร่างกายทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
จากนั้นเขาที่สวมเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ไม่ทันไรเขาก็สังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามาอยู่ในห้องของเขา และในตอนนี้ชิงจือก็กำลังนั่งอยู่บนเตียงของเขา
เฉินเฟิงไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงอะไรเมื่อมีคนได้เห็นเรือนร่างท่อนบนของเขาที่กำลังเปลือยเปล่า ทว่าตอนนี้เขาเพียงสงสัยว่าทำไมชิงจือถึงได้มาอยู่ที่นี่
“คุณมีเรื่องอะไรจะพูดกับผมงั้นหรอ?”
เขาเดินไปยังข้างๆ โต๊ะก่อนจะหยิบขวดน้ำที่ตั้งไว้ขึ้นมาเปิดแล้วดื่มลงไป
ชิงจือมองเขาพร้อมกับพูด: “เส้นทางต่อจากนี้ไป พวกเราต้องแยกกันแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...