เฟิ่งซีรีบถามว่า “งั้นคุณต้องการอะไรกันแน่ จึงจะยอมช่วยพวกเราพาเฉินเฟิงกลับมาได้”
ในใจของหลงหลินกลับนึกถึงเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา
ไป๋ซูยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครั้งแรกที่ได้พบเห็นพวกคุณทั้งสอง ทำให้รู้สึกตกตะลึงกับความงามของพวกคุณทั้งสอง ในใจคิดอยากจะใกล้ชิดพวกคุณทั้งสองขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
แต่ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พวกคุณทั้งสองดูเหมือนจะมีอคติกับฉันอยากมากเลย มักจะแสดงท่าทางที่เย็นชา ทำให้ฉันรู้สึกปวดใจ ฉันรู้ตัวว่าตัวเองก็เป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง แต่กลับไม่มีทางที่จะเป็นเพื่อนกับพวกคุณทั้งสองได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
หลงหลินก็ได้แต่มองดูไป๋ซูด้วยความเย็นชา ส่วนเฟิ่งซีกลับรู้สึกละอายใจกับท่าทางของตัวเองที่แสดงต่อเขา
ไป๋ซูก็พูดต่อไปอีกว่า “ฉันยินดีที่จะช่วยเหลือพวกคุณทั้งสอง คุณก็อาจจะคิดว่าในใจฉันอยากจะมาใกล้ชิดพวกคุณ แต่แท้จริงแล้วข้อเรียกร้องของฉันมันง่ายนิดเดียว เพียงแค่ให้พวกคุณทั้งสองปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็พอแล้ว”
เมื่อไป๋ซูพูดจบ หลงหลินกลับอึ้งไปเลย เดิมทีเธอคิดว่าไป๋ซูจะเสนอความต้องการที่มากเกินกว่าเหตุ หนำซ้ำยังต้องการให้เธอทั้งสองยอมจำนนต่อไป๋ซูในเวลาเดียวกันด้วย
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นข้อเรียกร้องที่ง่ายดายเช่นนี้
เฟิ่งซีอ้าปากค้างด้วยความมึนงง ดูเหมือนจะรู้สึกเสียใจที่ทำไม่ดีกับเขาไว้ในสองวันที่ผ่านมานี้
ไป๋ซูมองดูท่าทีของพี่น้องสองสาวแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “งั้นฉันก็ไม่รบกวนพวกคุณทั้งสองพักผ่อนแล้วนะ ถ้าพวกคุณทั้งสองยอมตกลงละก็ พรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบฉันก็ได้”
พอพูดจบก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไป ทิ้งให้พี่น้องสองสาวยืนงงเป็นไก่ตาแตก
หลังจากที่เฟิ่งซีปิดประตูห้องแล้ว เธอก็กลับมานั่งข้างกายของหลงหลิน ถามด้วยความอยากรู้ว่า
“พี่ว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้รึเปล่า?”
ส่วนหลงหลินก็ชักจะตัดสินใจไม่ถูกแล้ว เธอคิดว่า หรือว่าไป๋ซูยังมีแผนตลบหลังอะไรอีก รอให้พวกเธอพี่น้องสองสาวยอมอ่อนข้อก่อน แล้วค่อยบอกความต้องการที่แท้จริงของตัวเองออกมาภายหลัง
แต่ว่าตอนนี้เห็นท่าทางที่จริงใจของไป๋ซูแล้ว หลงหลินก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองทำเกินไปหรือไม่
เมื่อได้ยินเฟิ่งซีถามเช่นนั้น เธอก็ได้แต่พูดอย่างไม่มั่นใจว่า “อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่เขาแค่จงใจที่จะใกล้ชิดพวกเรา จากนั้นก็ค่อยๆเผยความในใจของเขาออกมาภายหลังก็ได้ ถ้าเป็นจริงอย่างนั้นละก็ พวกเราก็จะต้องตกลงไปในหลุมพรางของเขา แล้วไม่มีทางหลุดรอดออกไปได้เลย”
ใบหน้าของหลงหลินแสดงความกังวลออกมา แต่กลับพูดอย่างหดหู่ว่า “แต่ยังไง ตอนนี้พวกเราก็ต้องพึ่งเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น พี่น้องสองสาวต่างมีความในใจตั้งแต่เมื่อคืนจึงนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม แต่ว่าเมื่อมาถึงห้องอาหารแล้วกลับเห็นไป๋ซูที่สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส พร้อมด้วยคุณท่านเฉียนที่สีหน้าค่อนข้างซึมเศร้า
พี่น้องสองสาวก็เหลือบไปมองพวกเขาแวบเดียว ก็นั่งลงบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็มีคนนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้ทันที เป็นอาหารเช้าที่เลิศหรูมาก
หลังจากรับประทานอาหารไปสักพักแล้ว ในห้องอาหารก็ไม่มีใครพูดอะไรเลย สงบเงียบจนน่าประหลาดใจ
พี่น้องสองสาวเดิมทีคิดจะรับประทานอาหารอย่างสงบเงียบแล้วกลับไปที่ห้อง แต่ทันใดนั้นไป๋ซูก็พูดขึ้นว่า“คุณปู่เฉียนครับ ไม่ทราบว่าเรื่องที่คุยกันเมื่อวาน ปู่คิดตัดสินใจดีแล้วหรือยัง?”
ชายชราใบหน้ามืดคล้ำมองไปยังไป๋ซูด้วยสายตาที่เยือกเย็น แต่ว่าไป๋ซูกลับไม่แยแสเลย ได้แต่ยิ้มรอคอยคำตอบจากชายชรา
“หรือว่าคุณปู่เฉียนคิดทั้งคืนแล้วยังหาทางออกกับปัญหานี้ไม่ได้เลยเหรอ? งั้นคงจะทำให้คนอื่นร้อนใจแย่เลย”
บรรยากาศในห้องเป็นเพราะการยุแยงของไป๋ซู ทำให้กลิ่นอายเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นมากขึ้นทันที พี่น้องสองสาวก็ไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างปกติต่อไป มองไปยังไป๋ซูด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ไป๋ซูกลับส่งยิ้มให้กับพวกเธอ พร้อมกับใบหน้าที่สดใสร่าเริงของเขา ทำให้เกิดความรู้สึกที่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ชายชราวางตะเกียบลงอย่างแรง “เพี๊ยก” เสียงดังก้องขึ้น ทำให้พี่น้องสองสาวสะดุ้งตกใจ
ไป๋ซูถามด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมเหรอ? พวกคุณทั้งสองไม่ค่อยชอบใช่มั๊ยล่ะ? หรือจะให้ฉันไปเปลี่ยนรถอีกคันมาก็ได้นะ ในโรงรถก็ยังมีเบนท์ลี่ย์สีดำอีกคันหนึ่ง
หลงหลินรีบโบกมือแล้วพูดว่า“ไม่ใช่ คุณไม่ต้องไปเปลี่ยนหรอก”
ไป๋ซูก็ส่งยิ้มให้กับพวกเธอ
หลงหลินก็รู้ว่าในใจเฟิ่งซีคิดอะไรอยู่ จึงหันไปบอกเธอว่า “ไปเถอะ ก็แค่นั่งรถไปด้วยกันครั้งเดียวเอง ก็ถือเสียว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง”
เฟิ่งซีจึงเดินตามหลงหลินเข้าไปนั่งในรถเบนซ์คันนี้
เสน่ห์ของรถเปิดประทุนก็อยู่ที่ความรู้สึกที่พลิ้วไปกับสายลมเช่นนั้น มักจะทำให้คนเราเกิดจินตนาการที่อยากจะโบยบินไปสู่ท้องฟ้า ไป๋ซูขับรถเร็วมาก ภายใต้ความเร็วเช่นนั้น ใบหน้าที่ปะทะกับสายลม มันช่างเย็นสบายสดชื่น ราวกับอิสรภาพที่หลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น
แสงแดดที่อบอุ่นสาดส่องลงมาบนร่างกาย มันช่างแสนอบอุ่นอะไรเช่นนั้น
สิ่งที่ดีที่สุดที่ฟ้าประทานมาให้นั่นก็คือธรรมชาติที่อยู่ที่นี่
ระหว่างทางก็วิ่งแซงรถคันอื่นไปคันแล้วคันเล่าอย่างต่อเนื่อง มักจะมีสายตาที่ชื่นชมของผู้คนไม่น้อยที่มองมา และแล้วก็ขับไปยังที่ที่ไกลแสนไกลออกไป
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็มาจอดอยู่ตรงหน้าทะเลสาบที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ดูราวกับเป็นทะเลกว้างไกลที่ไร้ขอบเขต มองไม่เห็นสุดขอบปลายทาง
ไป๋ซูยืนพิงอยู่ข้างรถ ไขว้ขาทั้งสองไว้ พูดอย่างสบายใจว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มีเรื่องอะไรว้าวุ่นใจ ฉันก็จะมาที่นี่ มองดูทะเลสาบที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็เหมือนกับเอาความทุกข์โยนทิ้งไปกับทะเลสาบนี้ไป ในใจก็รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก”
เฟิ่งซีมองไปรอบๆด้วยความอย่างรู้ พืชน้ำขึ้นงอกงามอุดมสมบูรณ์ ฝูงนกต่างบินร่อนไปมาอย่างอิสรเสรี ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสงบเงียบเสียจริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...