มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 132

ทุกที่ในบริเวณวัดกวนเหลยล้วนเต็มไปด้วยห้วงดาบ จอมยุทธ์ที่มาถึงที่นี่ล้วนเลือกบริเวณหนึ่งมารับรู้ ไม่ข้องเกี่ยวกัน เงียบมาก

เสียงร้องที่ดังมากะทันหันนี้ดึงดูดความสนใจจากคนไม่น้อย โดยเฉพาะจอมยุทธ์พรสวรรค์มากมายที่กำลังรับรู้ห้วงดาบอยู่ในบริเวณรอบนอก

สำหรับจอมยุทธ์พรสวรรค์แล้ว ปรมาจารย์ฝึกจิตเป็นระดับสูงมาก เรียกได้ว่ากล้าแกร่งยืนหนึ่ง สะท้านไปทุกทิศ

มองด้านอำนาจใหญ่ๆ เป็นบุคคลระดับผู้คุมกฎอาวุโส ฐานะสูงส่ง

แต่ว่าที่นี่ ผู้แกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิตคนหนึ่งกลับตายฉับพลัน ตายทันที

ภูเขาที่วัดกวนเหลยอยู่เป็นเขตศูนย์กลางแล้ว จากตีนเขาไปถึงกลางเขา ล้วนเป็นจุดรับรู้ห้วงดาบของปรมาจารย์ฝึกจิต

เทียบกับจอมยุทธ์พรสวรรค์มากมายที่ไม่ค่อยได้มาที่นี่ ราชายุทธ์ปรมาจารย์ยุทธ์พวกนั้นที่อยู่บนเขากลับสงบนิ่งมากกว่า สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงอะไร

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้าไป และเก็บรวบรวมซากศพและข้าวของปรมาจารย์ยุทธ์ที่ตายไปนั่นมารวมกันให้มากเท่าที่ทำได้

ชายวัยกลางคนคนนี้กับปรมาจารย์ฝึกจิตคนที่ตายไป ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งของตระกูลกงซุนแห่งเขตการปกครองโต้วไห่

“อ๊า!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องขึ้นอีก เสียงร้องครั้งนี้กลับออกมาจากด้านหลังของหลัวซิว อยู่ในรอบนอกของเขตนี้

จอมยุทธ์พรสวรรค์คนหนึ่งล้มลงพื้น เลือดไหลออกเจ็ดทวาร ไม่อาจรับการบีบคั้นของห้วงดาบได้ ตายคาที่!

หลัวซิวตวัดกระบี่ฟาดฟันรังสีดาบที่ฟันลงมา และหันไปมองหนึ่งครั้ง พบเงาร่างหลายร่างที่คุ้นเคยเล็กน้อย

ในหลายคนนี้ จอมยุทธ์หอหย่งชางที่เดิมเดินทางมากับเขา เหลือเพียงเจ็ดแปดคน และไม่เห็นคนอื่นอีก

หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด คนอื่นคงตายอยู่ในท้องของอสูรม้าทองเกล็ดม่วงแล้ว

หนึ่งในนั้นเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์สามคนที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มร้อยคนชายวัยกลางคนในชุดสีฟ้า หลัวซิวจำได้ว่าคนผู้นี้ชื่อว่าจงฉางผิง

ในมรดกของจอมยุทธ์พรสวรรค์ที่ตายไป ก็โดนคนเก็บเอาไว้ คนไม่น้อยยังคงหวาดกลัวอยู่ แต่กลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังโวยวาย มิเช่นนั้นหากไปรบกวนผู้แข็งแกร่งที่กำลังรับรู้ห้วงดาบอยู่ อาจจะกลายเป็นหาเรื่องตายมาให้ตนเองได้

วัดกวนเหลยถูกแบ่งออกเป็นดินแดนอันตรายสีม่วงเข้ม เพราะว่าขั้นตอนในการรับรู้ห้วงดาบนั้นหากไม่ระวังเพียงนิด ก็จะตายคาที่ได้

เพื่อป้องกันการโดนคนรบกวนในระหว่างที่รับรู้ห้วงดาบ อำนาจทุกฝ่ายต่างตกลงกันไว้ว่า หากมีคนมารบกวนการรับรู้ของคนอื่น จะรวมตัวกันโจมตีทันที

เวลานี้หลัวซิวใกล้จะเดินถึงตีนเขาแล้ว ห้วงดาบที่เต็มเปี่ยมในที่นี้ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ก็ยากจะรับมือได้ เขาเองก็อาศัยดาบเร็วของแดนบรรลุผลในมือ ถึงสามารถต้านทานการฆ่าฟันของรังสีดาบที่ห้วงดาบปประกอบร่างขึ้นมาได้

ในที่นี้ประโยชน์ของตบะบำเพ็ญสูงดูไม่เด่นชัดนัก เพราะการจะต้านทานรับห้วงดาบได้ พิจารณาจากแดนโลกยุทธ์มิใช่ตบะ

ตบะที่แสดงออกมาของหลัวซิวเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย การที่เขาสามารถเดินเข้าใกล้ตำแหน่งตีนเขาได้ ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นไม่น้อยเลย

“ชายผู้นี้อายุยังน้อย ดูแล้วไม่เกินยี่สิบปี กลับสำเร็จวิชากระบี่แล้ว”

“คิดถึงตอนแรกที่ข้าฝึกฝนวิชาหมัดจนถึงแดนบรรลุผล ตอนนี้อยู่ในระดับพรสวรรค์ขั้นเก้า ใช้เวลาเกือบสี่สิบปีเลยทีเดียว”

“สามอำนาจใหญ่อย่างสำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน หอหย่งชาง มิเคยได้ยินว่ามีอัจฉริยะแบบนี้มาก่อน” ที่ตีนเขาและกลางเขามีน้ำเสียงคุยกันไปมาของปรมาจารย์ฝึกจิต แต่ละคนมองสบตากัน ต่างประหลาดใจกับที่มาของหลัวซิว

พริบตาเดียวผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว จอมยุทธ์ที่มาบริเวณวัดกวนเหลยเพื่อรับรู้ห้วงดาบยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจอมยุทธ์ของเขตการปกครองโต้วไห่แล้ว ยังมีจอมยุทธ์ของเขตการปกครองหยุนหลง

ในบรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้ มีผู้แข็งแกร่งที่กำลังฝึกฝน ส่วนมากเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากสำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน หอหย่งชาง สำนักเซียวเหยา

แต่หลัวซิวรู้ดีว่า ความปรารถนาในการรับรู้ห้วงกระบี่นั้นยังขาดประสบการณ์แดนใจ วิชากระบี่บริบูรณ์ถือเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

เป็นคน อย่าละโมบโลภมาก

รังสีดาบรอบๆไม่สามารถสร้างผลกระทบอะไรกับเขาได้แล้ว เขาสะบัดกระบี่นิดหน่อยก็สามารถฟาฟันรังสีดาบที่เข้ามากระจุย

เขาไม่ได้เดินหน้าต่อ การที่สามารถมายืนตรงนี้และเพิ่มระดับดาบเร็วจนถึงแดนบริบูรณ์ได้นั้นถือเป็นผลกำไรมหาศาลแล้ว เขาพอใจมาก

พอเห็นหลัวซิวล่าถอย จอมยุทธ์พรสวรรค์จำนวนไม่น้อยในเขตรอบนอกนั้นต่างมองมาทางเขา ปรมาจารย์ฝึกจิตหลายคนที่อยู่ตีนเขา แววตาพวกเขามีประกายสงสัย

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าวิชากระบี่ของเขาได้บรรลุถึงแดนบริบูรณ์แล้ว ทุกคนต่างคิดว่าเขาไม่อาจต้านทานการบีบคั้นของห้วงดาบ จึงได้ล่าถอยไป

ที่สงสัยเพราะว่า มีแต่อยู่ภายใต้การบีบคั้นของห้วงดาบเท่านั้น จึงจะสามารถอาศัยโอกาสรับรู้นี้มาเพิ่มพูนแดนของตนเองได้ ชายหนุ่มผู้นี้พรสวรรค์ไม่เลว อนาคตยังอีกไกลไม่อาจคาดเดาได้ เหตุใดคิดละทิ้งตรงนี้ล่ะ?

ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์บางส่วนที่กลางเขาเดิมคาดหวังกับหลัวซิว พอตอนนี้เห็นเขาล่าถอย พากันส่ายหัว เจออันตรายก็ถอย จิตใจเช่นนี้ยากจะไปได้ไกลในโลกยุทธ์

“สหายท่านนี้ โปรดหยุดก่อน”

พอเห็นหลัวซิวทำท่าจะออกจากเขตนี้ของวัดกวนเหลย ปรมาจารย์แดนพรสวรรค์ชั้น9คนหนึ่งพลันเอ่ยปากรั้งหลัวซิวไว้

“ท่านจงมีกระไรรึ?” หลัวซิวมองไปตามเสียง เห็นคนที่ร้องเรียกตนไว้ก็คือปรมาจารย์ของหอหย่งชาง จงฉางผิง

จงฉางผิงยกมือขึ้นคำนับเขา หัวเราะบอก “ข้าเห็นวิชากระบี่ของสหายน้อยท่านนี้เป็นแดนบรรลุผล ไม่ทราบว่าอาจารย์ของสหายน้อยคือผู้ใดกัน มีสำนักหรือไม่?”

จงฉางผิงนี่เห็นได้ชัดว่า เขาพบว่าฝีมือหลัวซิวไม่ด้อยเลย เลยคิดจะชักชวน หากสามารถชักชวนอัจฉริยะให้หอหย่งชางได้ ในฐานะผู้แนะนำ เขาก็จะได้รับรางวัลจากระดับสูงของหอหย่งชาง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ