มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 162

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายผู้ไว้จอนสีขาวเหลือบเงินสองข้างเดินเข้ามาภายในห้อง

ชายผู้นี้สวมใส่ชุดสีเขียว เขามีนามว่าเสิ่นหยวนหนาน เป็นหัวหน้าผู้ดูแลองค์กรนักล่ายุทธ์ทั้งหมดในเขตการปกครองโตว้ไห่

ด้านหลังของเขา มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามมา ดู ๆ ไปแล้วอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี

“เจ้าคือเด็กอัจฉริยะที่เหวินเซวียนหงรับเอาไว้สินะ ?” เสิ่นหยวนหนานหรี่ตามองหลัวซิว

“ผู้น้อยหลัวซิวคารวะผู้อาวุโส” หลัวซิวเดินเข้าไปคำนับ

ท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงเคยบอกเขาว่า ผลการฝึกตนของเสิ่นหยวนหนานผู้นี้ อยู่ในระดับราชายุทธ์ขั้น 5 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเหวินเซวียนหง

ส่วนเจ้าสำนักเหลยเว่ยหลงแห่งสำนักเหลยหวู่ ถึงแม้จะถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเขตการปกครองโตว้ไห่ แต่กลับอยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น 4 เท่านั้น

ดังนั้นที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง ก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น

“พ่อหนุ่มถือว่ามีมารยาทและไม่หยิ่งยโส” ใบหน้าของเสิ่นหยวนหนานปรากฏรอยยิ้มออกมา ราวกับว่ารู้สึกพึงพอใจหลัวซิวอย่างมาก

แต่หลังจากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปทันที รัศมีอันทรงพลังของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา ราวกับภูเขาลูกใหญ่ ที่กำลังพุ่งเขาไปกดดันหลัวซิว

พลังที่ส่งออกมาเต็มไปด้วยแนวคิดทางศิลปะที่ลึกซึ้งของโลกยุทธ์ หลัวซิวไปอาจป้องกันได้จึงถอยร่นไปครึ่งก้าว

“บูม !”

ไอสังหารสีเลือดถูกปลดปล่อยออกมา หลัวซิวเองก็ปลดปล่อยพลังของเขาออกมาเช่นกัน ดูราวกับคลื่นของกองภูเขาซากศพและทะเลสีเลือด เต็มไปด้วยเจตานาฆ่าที่รุนแรงจนหาที่เปรียบไม่ได้

เพียงแต่ว่า เมื่อเทียบกับพลังของราชายุทธ์อย่างเสิ่นหยวนหนานแล้ว พลังของเขาไม่อาจเทียบได้ติดแม้เพียงปลายเล็บ ทำให้ร่างกายของเขาได้รับแรงกดดันจนล่าถอยออกไปไม่หยุด

ภายได้แรงกดดันของพลังมหาศาลนี้ ไอสังหารที่หลัวซิวปล่อยออกมาถูกบีบอัดและผนึกรวมไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างยิ่ง

ไอสังหารถึงแม้จะมีสีเลือด แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ถ้าหากสามารถควบแน่นและผนึกรวมได้ มันจะกลายเป็นกระบี่ได้หรือไม่ ?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวก็หลับตาลง ไอสังหารบนร่างกายของเขาทั้งหมดถูกกดดันจนต้องไปรวมอยู่ในที่เล็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อเกิดการผนึกรวมมากขึ้น ก็เกิดเป็นพลังอันคมกริบของกระบี่ยุทธ์ขึ้นมา

ขณะที่หลัวซิวคิดที่จะเปลี่ยนไอสังหารให้เป็นกระบี่ แล้วทลายแรงกดดันของคู่ต่อสู้ เสิ่นหยวนหนานกลับเรียกพลังกลับคืนทันที ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังทุบกำปั้นลงไปในอากาศ ไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

“เหอะ ๆ เจ้าเข้าใจลึกซึ้งถึงต้นแบบของห้วงยุทธ์แล้ว ถ้าหากสามารถรวบรวมไอสังหารให้กลายเป็นกระบี่ได้ รอให้เจ้าไปถึงแดนฝึกจิตและได้ครอบครองการสำนึก เจ้าก็จะสามารถควบคุมห้วงยุทธ์ได้ ห้วงกระบี่ !” เสิ่นหยวนหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”

หลัวซิวโค้งคำนับ ห้วงกระบี่ถือเป็นห้วงยุทธ์ชนิดหนึ่ง หากเขาใช้ไอสังหาร วิชากระบี่ และการสำนึกผนึกรวมจนกลายเป็นห้วงยุทธ์ ก็จะเกิดเป็นห้วงกระบี่

ส่วนห้วงยุทธ์ของเสิ่นหยวนหนานผู้นี้ ให้ความรู้สึกที่หนักแน่นดุจภูเขา และเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงกดดัน ซึ่งก็คือห้วงภูเขา

จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งเหยียนเยว่เอ๋อร์ ห้วงยุทธ์โหมกระหน่ำไปด้วยเปลวไฟ ซึ่งก็คือห้วงเปลวไฟ

“การที่เจ้าตระหนักรู้เป็นเพราะความสามารถในการรับรู้ของเจ้า ส่วนข้าก็แค่ชี้แนะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เสิ่นหยวนหนานยิ้มและพูดว่า : “ข้ากลับรู้สึกอิจฉาเจ้าเหวินเซวียนหงผู้นั้น ในเขตการปกครองโตว้ไห่ของข้า ไม่มีอัจฉริยะที่จะเทียบเคียงกับเจ้าได้เลย”

ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เด็กสาวที่เดินตามหลังเสิ่นหยวนหนานมาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูด

ตอนนี้หลัวซิวไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สังคมใหม่อีกต่อไปแล้ว แต่เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของการฝึกตนเป็นอย่างดี

สถานะของแก๊งทั้งสี่นั้นยิ่งใหญ่ องค์กรนักล่ายุทธ์ถือเป็นผู้นำของแก๊งทั้งสี่ ซึ่งกล่าวได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ

ประเทศเทียนหวู ในโลกกว้างใหญ่ใบนี้ ก็เป็นเพียงแค่ผืนดินเล็ก ๆ ผืนหนึ่ง กองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าประเทศเทียนหวูนั้น มีอยู่นับไม่ถ้วน

เท่าที่หลัวซิวรู้ กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศเทียนหวูก็คือ ราชวงศ์ของประเทศเทียนหวู มีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้นำ

เสิ่นหยวนหนานพิสูจน์ความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของหลัวซิวด้วยตนเองแล้ว และยกระดับพรสวรรค์ของเขา ขึ้นสู่ชั้นเหลืองระดับสูง

ด้วยความสามารถของหลัวซิวในตอนนี้ เขาสามารถเลือกวิชายุทธ์ระดับ 7 ได้สามวิชา เสิ่นหยวนหนานมอบรายชื่อวิชาให้แก่เขา

บนกระดาษรายชื่อนี้ มีรายชื่อของวิชายุทธ์ระดับ 7 อยู่นับสิบวิชา มีทั้งวรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ และวิชาท่าร่าง

ในประเทศเทียนหวู วิชายุทธ์ระดับเจ็ดวิชาเดียวก็เพียงพอที่จะขึ้นเป็นผู้สืบทอดหลักของกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว ตาในองค์กรนักล่ายุทธ์ กลับมีมากมายเช่นนี้ ภูมิหลังเช่นนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกตื่นตกใจไม่น้อย

สำหรับหลัวซิวแล้ว วรยุทธ์ในวิชายุทธ์ระดับ 7 ไม่ได้มีความหมายต่อเขามากนัก มีเพียงแค่ทักษะยุทธ์และวิชาท่าร่าง ที่ยังคงขาดแคลนอยู่

หลังจากการเลือกสรร เขาเลือกทักษะยุทธ์หนึ่งวิชา ชื่อว่าวิชากระบี่เพลิง เหมาะกับจอมยุทธ์ฝึกตนที่ฝึกปราณแท้火属性 เพลิงมรณะของเขาตรงตามเงื่อนไขพอดี อีกทั้งยังมีพลังมี่เหนือกว่าปราณแท้ธาตุไฟธรรมดา ๆ

จากนั้น เขาก็เลือกวิชาท่าร่างอีกหนึ่งวิชา ชื่อว่าตามลมล่าจันทรา ซึ่งละเอียดอ่อนกว่าวิชาท่าร่างวิชาเงาเศษสิบช่องมาก

หลังจากผลการฝึกตนโลกยุทธ์ถึงระดับปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตแล้ว ก็จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ วิชายุทธ์วิชาท่าร่างทั่วไปจึงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะใช้วิชาท่าร่างในการฝึกตนระดับการฝึกจิตขึ้นไป ซึ่งมีชื่อเรียกว่าเหาะเหินเดินฟ้า ซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศได้

หลัวซิวเลือกวิชา “ลมล่าจันทรา” เพื่อว่าหลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุไปถึงระดับการฝึกจิตแล้ว ก็สามารถนำมาใช้กับวิชาเหาะเหินเดินฟ้าได้

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่ได้เลือกวรยุทธ์ เสิ่นหยวนหนานก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะการที่หลัวซิวมีความสามารถอย่างเช่นตอนนี้ได้ คงจะต้องมีการวางแผนอย่างแน่นอน

นอกจากวิชายุทธ์ระดับ 7 แล้ว อัจฉริยะในขั้นเหลืองระดับสูง ทุกปีจะได้รับทรัพยากรในการฝึกตนเป็นหินพลังจิตระดับกลางหนึ่งพันก้อน

หินพลังจิตระดับกลางหนึ่งพันก้อนดูเหมือนจะเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นหินพลังจิตระดับล่าง เทียบได้กับหนึ่งแสน ซึ่งเกือบจะเทียบได้กับทรัพย์สินของราชายุทธ์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว

อันฉริยะที่อยู่ในระดับขั้นเหลือง มีเพียงแค่ขั้นเหลืองระดับสูงที่จะได้รับหินหลังจิตระดับกลางหนึ่งพันก้อน ส่วนระดับล่างและระดับกลาง จะได้รับเพียแค่วรยุทธ์วิชายุทธ์เท่านั้น

ระดับพรสวรรค์ยิ่งสูงขึ้นไหร่ ก็จะได้รับความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ต่อให้เป็นองค์กรนักล่ายุทธ์ ทรัพยากรก็มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ