คนสูงวัยหลายคนยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอได้กลิ่นน้ำเหม็นๆ ก็ไม่ได้คัดค้าน
หลังจากทางนี้หารือกันเรียบร้อยแล้ว หวังโหยวเกินจึงส่งคนไปลากศพมาจากในน้ำ
เมื่อได้ยินว่าต้องเผาศพที่เจอในน้ำ คนในครอบครัวของผู้เสียชีวิตจึงตะโกนอย่างไม่เห็นด้วย บางคนร้องไปเอะอะไป บอกว่าควรฝังหลังจากน้ำลดไปแล้ว
โจวกุ้ยหลานเองก็ไม่มีแรงจะอธิบายเรื่องนี้กับพวกเขา ดังนั้นนางจึงตามเหล่าไท่ไท่กลับไปพักผ่อน
โจวกุ้ยหลานไม่สบายใจเลยกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
เมื่อเดินไปใกล้จะถึงเรือนของตนเองและได้ยินเสียงเด็กๆ อ่านหนังสือ นางจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง จากนั้นนางจึงกลับไปที่ห้องและล้มตัวลงนอน
พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็ค่ำแล้ว
โจวกุ้ยหลานกินโจ๊กถั่วรวมที่ใสจนไม่รู้จะใสอย่างไรกับทุกคนและกินผักป่าทั้งหมด
อาหารที่ประคับประคองเหลือเก็บเอาไว้เหลือกินอีกแค่ไม่กี่มื้อก็จะหมด สิ่งที่กินในตอนนี้ล้วนมีแต่เสบียงอาหารที่เก็บมาจากน้ำ นางไม่ต้องพูดอะไรอีก พวกผู้หญิงก็ขึ้นไปเก็บผักป่าบนภูเขาด้วยตัวเองแล้วเอามาต้มโจ๊กรวมกับผักในแปลงผักที่เรือนของตน
นางไม่รู้เหมือนกันว่าจะประคับประคองให้เป็นแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
ระหว่างที่กำลังกิน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงทะเลาะกันดังมาจากข้างนอก
ตอนแรกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ผ่านไปครู่เดียวผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกซิ่วเหลียนลากเข้าไปในห้องโถง ที่ตามหลังนางไปยังมีเด็กชายอายุสามสี่ขวบที่เอาแต่ร้องไห้ตลอดเวลา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เหล่าไท่ไท่ถาม
ซิ่วเหลียนเอ่ยอย่างโมโห “นางจะแอบไปที่เล้าไก่ของกุ้ยหลานเพื่อฆ่าไก่ แต่ข้าบังเอิญเห็นเข้าก่อน”
ฆ่าไก่?
โจวกุ้ยหลานมองผู้หญิงคนนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ แต่นางไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้
“เหตุใดจึงจะฆ่าไก่ของข้า”
เมื่อได้ยินคำถามของโจวกุ้ยหลาน ผู้หญิงคนนั้นก็คลานขึ้นมาจากพื้นและลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือออกมากอดบุตรชายของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบทว่าหวาดกลัวว่า “เราสองแม่ลูกกินไม่อิ่ม แต่เจ้ายังต้องเอาอาหารมาเลี้ยงเจ้าสัตว์นี่อีก สู้ฆ่ามันมากินบำรุงร่างกายลูกชายข้ามิดีกว่าหรือ! ทุกวันกินแต่โจ๊ก กินอย่างไรก็ไม่พอ ลูกชายของข้าผมลงไปตั้งมากโข!”
“เหตุใดเจ้าจึงไร้มโนธรรมเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะกุ้ยหลาน เจ้ากับลูกของเจ้าคงตายไปแล้ว!” ซิ่วเหลียนตำหนิสตรีผู้นั้น
สตรีผู้นั้นยิ้มเยาะ “เจ้าเป็นภรรยาของผู้ใหญ่บ้าน ทุกวันกินอิ่มหลับสบาย เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกข้าต้องใช้ชีวิตแบบไหน”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ซิ่วเหลียนโกรธ นางเอื้อมมือไปคว้าผมของสตรีผู้นั้นเพื่อตบนาง ส่วนเด็กคนนั้นล้มลงไปบนพื้นและร้องไห้โฮออกมาทันที
สตรีผู้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง นางขยับมืออย่างรวดเร็วและใช้เล็บจิกลงไปที่หน้าของซิ่วเหลียนอย่างแรง
เมื่อคนที่อยู่ในห้องเห็นก็รีบเข้าไปแยกทั้งสองคนออกจากกัน สตรีที่เมื่อก่อนทำอาหารมาตลอดตะโกนว่า “หลี่จาวตี้ เจ้าทำอะไรน่ะ”
ผู้หญิงที่ชื่อหลี่จาวตี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เวลานี้นางทิ้งก้นนั่งลงบนพื้นและร้องห่มร้องไห้เสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่
“สามีข้า เหตุใดเจ้าจึงทิ้งข้ากับลูกให้อยู่ตามลำพัง พวกข้ากินไม่อิ่มและแทบจะอดตาย! ท่านพาพวกข้าไปด้วยสิ พวกข้าไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว!”
เด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินมารดาของเขาร้องไห้และยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
โจวกุ้ยหลานรู้สึกอึดอัด นางลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น เมื่อรู้ว่านางอารมณ์ไม่ดี โจวกุ้ยหลานจึงตบไหล่นางเบาๆ
“เจ้าวางใจเถิด ไก่พวกนั้นไม่ได้กินข้าว ข้าวมีไว้ให้พวกเรากิน”
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่กล้าพูดอะไรมาก เขาวางคบเพลิงไว้บนหลุมกองฟืน ฟืนเปียกจนไม่ติดไฟ ต้องจุดไฟเผาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเริ่มเผาไหม้อย่างช้าๆ กลุ่มควันสีดำลอยออกมาจากหลุมขนาดใหญ่และพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ญาติๆ เหล่านั้นร้องไห้อย่างขมขื่น มีเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นรอบๆ ส่วนผู้คนไร้ญาติที่อยู่โดยรอบก็มีสีหน้าที่มึนชา จ้องมองผู้คนในหลุมซึ่งค่อยๆ ถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน
มีเสียงดัง ‘เปรี๊ยะปร๊ะ’ ขึ้นมาขณะที่ไฟค่อยๆ ลุกท่วมศพเหล่านั้น และในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง ผู้หญิงบางคนวิ่งเข้ามาหาและขอให้หวังโหยวเกินกับผู้อาวุโสเหล่านั้นกลับไปหารือเรื่องการฆ่าเป็ดไก่ของโจวกุ้ยหลานอย่างตื่นเต้น
เมื่อคนที่มีใบหน้ามึนชาได้ยินดังนั้นจึงตาเป็นประกายขึ้น
มีเพียงคนที่กำลังร้องไห้อยู่เท่านั้นที่ยังจมอยู่ในอารมณ์ของตน
หวังโหยวเกินกับผู้อาวุโสรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยิน จากนั้นจึงรีบขึ้นไปบนภูเขาทันที
ผู้หญิงที่เหลือรีบตามขึ้นไป แต่จางเสี่ยวจุ๋ยยังอยู่และคอยปลอบโยนเหล่าสตรีที่กำลังร้องไห้ ทำให้พวกนางสงบลง
“อย่าร้องไปเลย กุ้ยหลานเตือนเรื่องนี้แล้ว และนี่ก็เพื่อพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากเกิดโรคระบาดจริงๆ ชีวิตของพวกเราเองก็...”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จางเสี่ยวจุ๋ยก็มีสีหน้าโศกเศร้าและหยุดพูด
แต่ประโยคนี้กลับทำให้เกิดความวุ่นวายในฝูงชน
“เหตุใดโจวกุ้ยหลานจึงต้องเผาคนในครอบครัวของข้า” สตรีผู้นั้นมีน้ำตาคลอเบ้า แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เอ่ยอย่างรู้สึกสับสน “ทั้งเมียทั้งลูกของข้าตายหมดแล้ว... ตายหมดแล้ว...”
“พวกเจ้า... พวกเจ้าอย่าตำหนินางเลย นางเองก็มีน้ำใจ... พวกเรา... ที่ยังมีชีวิต สำคัญที่สุด...” จางเสี่ยวจุ๋ยกล่าว เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนนางจึงรีบก้มหน้า ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก
ภายในห้อง เหล่าไท่ไท่คว้ามือของโจวกุ้ยหลานไว้อย่างร้อนใจ “กุ้ยหลานเอ๋ย เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ แค่พวกนั้นกินข้าวปลาอาหารของเจ้าก็แย่แล้ว นี่ยังมีเป็ดไก่กับหมูอีกมากมาย ถ้ากินหมด เจ้าจะไม่หมดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหรอกหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...