กองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง วัยเยาว์นี้ฉันเป็นเจ้าของ
ทางด้านหลิวเสี่ยวหนิงทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี แต่ด้านเฉินจุนเหยียนกลับไม่ใช่ สามารถพูดได้สถานการณ์เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
“จุนเหยียน สองสามวันนี้นายเป็นอะไร ท่าท่างถึงได้แย่ขนาดนี้?” ผู้จัดการส่วนตัวตบบ่าของเฉินจุนเหยียนด้วยท่าทางกังวลใจ
“โทษที อาจจะเพราะช่วงนี้ไม่ได้พักผ่อนให้ดีน่ะ งั้นผมกลับโรงแรมของทีมงนก่อนนะ” เฉินจุนเหยียนเหยียดมุมปากแล้วแยกออกไปคนเดียว
หลิวเสี่ยวหนิงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
หลิวเสี่ยวหนิงเห็นเฉินจุนเหยียนเข้าไปที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งดังที่คาดการณ์เอาไว้
เธอลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ยังคงเติมเขาเข้าไป
เสียงเพลงในร้านเหล้าดังเสียจนหูแทบหนวก หลิวเสี่ยวหนิงขมวดคิ้วน้อยๆ ใช้สายตากวาดไปรอบด้าน ในที่สุดก็เห็นเฉินจุนเหยียนอยู่มุมหนึ่งของร้าน
เขาดื่มเหล้าอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทางที่ผิดหวังเป็นที่สุด
หลิวเสี่ยวหนิงขบริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เดินเข้าไป เธอนั่งลงในบริเวณที่มองเห็นเขา แต่กลับไม่สังเกตว่าในบริเวณอื่นมีคนชูโทรศัพท์ขึ้นมา
เฉินจุนเหยียนก้มหน้ามองรูปในโทรศัพท์มือถือ
นั่นเป็นรูปที่เขาเคยแอบถ่ายไว้ครั้งหนึ่งและยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้
พอมองเห็นรอยยิ้มเจิดจ้าของซูฉิงในรูปภาพ เฉินจุนเหยียนจึงนึกถึงวันหมั้นหมายในวันนั้นขึ้นมา ตอนที่เธอยืนอยู่ข้างหน้าของฮ่อหยุนเฉินเธอก็แสดงออกแบบนี้เช่นกัน
ซูฉิงดีใจจริงๆ เฉินจุนเหยียนมองออก
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เฉินจุนเหยียนคลึงแก้วเหล้า เพราะเหตุใดกันคนที่ข้างเธอถึงไม่ใช่ตัวเขาเอง?
เมื่อคิดแบบนี้เฉินจุนเหยียนจึงยกขวดเหล้าขึ้นซด รสร้อนแรงของเหล้าฉุนจนทำให้เขาสำลักออกมา ครู่เดียวหน้าของเขาก็แดงไปหมด
“เฉินจุนเหยียน คุณบ้าไปแล้ว!”
เสียงที่ดังจากเหนือศีรษะทำให้เฉินจุนเหยียนเงยหน้าขึ้นมา จึงเห็นว่าหลิวเสี่ยวหนิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา แย่งเอาขวดเหล้าไป
“คุณมาที่ได้ยังไง?” เฉินจุนเหยียนขมวดคิ้วแน่น
“คุณมาดื่มเหล้าที่นี่ได้ ทำไมฉันจะมาบ้างไม่ได้?” นัยน์ตาของหลิวเสี่ยวหนิงทอประกายจ้าขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนั่งลงข้างกายเฉินจุนเหยียน
เธอเม้มกลีบปาก สุดท้ายคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากก็ไม่พูดออกมา ทำเพียงแค่รินเหล้าใส่แก้วใบเล็กให้เฉินจุนเหยียน
“อยากดื่มเหล้าก็ดื่มให้มันดีๆ ทำไมต้องทำท่าจะเป็นจะตายด้วย?”
เฉินจุนเหยียนจ้องหลิวเสี่ยวหนิง เหยียดริมฝีปากออกอย่างขมขื่นแล้วดื่มสิ่งที่อยู่ในแก้วรวดเดียวหมด
“แล้วช่วงนี้คุณเป็นอะไรไป? ทำไมสภาพถึงย่ำแย่ได้ขนาดนี้?” หลิวเสี่ยวหนิงถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ
“เธอหมั้นแล้ว” เฉินจุนเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย
ถึงแม้ว่าจะเดาเหตุผลได้แล้วก็ตาม แต่ตอนที่ฟังเฉินจุนเหยียนพูดออกมาจากจริงๆ หลิวเสี่ยวหนิงก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ใจ
เธออยากจะหัวเราะเยาะเฉินจุนเหยียน แต่ปากของเธอกลับคลี่รอยยิ้มออกมาไม่ได้
“นี่สินะที่เรียกว่ากงกรรมกงเกวียนเป็นกฎแห่งสวรรค์ ให้คุณปฏิเสธฉัน ตอนนี้คุณเองก็ไม่สมหวังในความรักเหมือนกันนี่” หลิวหัวเราะแห้งทั้งที่ในใจทุกข์ระทมอย่างเหลือแสน
ได้ยินประโยคนี้เฉินจุนเหยียนก็เงยหน้าจ้องไปที่หลิวเสี่ยวหนิง
หลิวเสี่ยวหนิงโดนจ้องจนรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ เธอเฉศีรษะกลับไปดื่มเหล้าอย่างเก้ๆ กังๆ “ก็แค่อกหักไม่ใช่เหรอ ดูท่าทางเหมือนวิญญาณออกจากร่างของคุณสิ”
ราวกับเยาะเย้ยตนเอง เฉินจุนเหยียนไม่ได้กล่าวอะไรทำเพียงแค่ดื่มเหล้าอย่างเงียบๆ
เสียงเพลงและแสงไฟในร้านเหล้าขับบรรยากาศให้เร่าร้อนยิ่งขึ้น ทว่าบริเวณที่เฉินจุนเหยินและหลิวเสี่ยวหนิงนั่งอยู่กลับเงียบจนเหมือนอยู่คนละโลก
ทันใดนั้นจินจิ่นหรานก็โทรศัพท์เข้ามา หลิวเสี่ยวหนิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเตรียมรับสาย ขณะที่กำลังจะรับสายนั้นเองกลับถูกอีกคนคว้าข้อมือไว้เสียก่อน
“ทำไม?” เฉินจุนเหยียนมองหลิวเสี่ยวหนิงด้วยดวงตาที่พร่ามัว
“เฉินจุนเหยียน?” หลิวเสี่ยวหนิงเห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปโบกตรงหน้าเฉินจุนเหยียน “นายเมาแล้วเหรอ?”
“ทำไมไม่ใช่ฉันกัน? ซูฉิง......” เฉินจุนเหยียนหลับตาลงเหมือนสุนัขตัวโตที่ตากฝนจนเปียกปอนแล้วทรุดลงตรงนั้นอย่างเซื่องซึม
หลิวเสี่ยวหนิงมองพลางขบริมฝีปากเบาๆ แล้วยื่นมือออกไปดึงเฉินจุนเหยียนขึ้นมา “คุณเมาแล้ว เดี๋ยวฉันไปส่งคุณกลับ”
แต่ว่าเฉินจุนเหยียนไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย จนถึงขั้นฉุดหลิวเสี่ยวหนิงลงจนเกือบจะล้มลงไปที่โซฟา
เฉินจุนเหยียนมองหลิวเสี่ยวหนิงด้วยสีหน้าจริงจังทำให้หลิวเสี่ยวหนิงสงสัยว่าเขาอาจจะไม่ได้ดื่มจนเมา
อย่างไรก็ตามนอกจากคำว่าขอโทษ หลิวเสี่ยหนิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“ตอนนี้จะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้วทั้งนั้นแหละ เธอไม่ต้องแสดงความคิดเห็นอะไรชั่วคราว ให้บริษัทจัดการ” ขณะที่พูดหลิวเสี่ยวหนิงก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจมาจากฝั่งของผู้จัดการ จากนั้นเธอก็กำชับอีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป
หลิวเสี่ยวหนิงกอดเขาของตนเองพลางจ้องสายที่ไม่ได้รับและข้อความถามข่าวคราวว่าตนเองอยู่ที่ไหนของจินจิ่นหราน
เธอกดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะตอบกลับไปหนึ่งประโยค
ตอนที่จินจิ่นหรานมาถึงโรงแรม หลิวเสี่ยวหนิงยังคงจ้องหน้าจอโทรศัพท์อ่านความคิดเห็นที่ด่าตน
“นายมาแล้ว” หลิวเสี่ยวหนิงหันศีรษะกลับไปฉีกยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าตอนร้องไห้ให้กับจินจิ่นหราน
“เธอชอบเฉินจุนเหยียนใช่มั้ย?” จินจิ่นหรานถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เขาไม่ได้โง่ หลังจากที่อยู่กับหลิวเสี่ยวหนิงมาก็เริ่มสังเกตอะไรบางอย่างได้รางๆ
ทักษะการแสดงบนโลกความเป็นจริงของเธอนั้นย่ำแย่กว่าในจอมาก
“ถ้าเธอชอบเขาจริง ฉันก็ถอยให้ได้” มือที่วางอยู่ข้างลำตัวของเขากำแน่น สวรรค์รู้ดีว่าตอนที่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงใด
ชั่วขณะหนึ่ง ซูฉิงก็รู้สึกว่ามีความรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงมาอุกอยู่ที่ใจ ทว่าเรื่องก็ดำเนินจนมาถึงตอนนี้แล้ว เธอเองก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังอีกต่อไป
“ฉันชอบเฉินจุนเหยียน แต่ว่าเขาชอบซูฉิง”
“ดังนั้นเธอจึงตอบรับคำสารภาพรักจากฉันก็เพื่อประชดเฉินจุนเหยียนหรือ?”
ได้ยินคำพูดนี้หลิวเสี่ยวหนิงก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้ามองไปที่จินจิ่นหราน
“ก็อาจจะ ตอนนั้นเป็นแบบนั้นจริง...” หลิวเสี่ยวหนิงกล่าวเสียงเบา “ต่ว่า ฉันเองก็อยากลืมเฉินจุนเหยียน และอยากยอมรับนายจริงๆ”
จินจิ่นหรานจ้องมองไปที่หลิวเสี่ยวหนิงตรงๆ สุดท้ายก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงหน้าเตียง “หลิวเสี่ยวหนิง ฉันรักเธอ”
หลิวเสี่ยวหนิงเงยหน้าขึ้นอย่างงงงัน ในชั่วขณะนั้นเองหยาดน้ำตาก็ทำให้สายตาเธอพร่าเบลอ เอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา
จินจิ่นหรานปาดน้ำตาบนใบหน้าของหลิวเสี่ยวหนิงอย่างอ่อนโยนแล้วส่งยิ้มให้เธอ
“ดังนั้น ฉันจะพยายามทำให้เธอชอบฉันจากใจจริง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น