นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 1391

ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เคยมีความคิดที่จะไปถามเสด็จอาเก้าว่าเหตุใดตระกูลเซี่ยจึงหาเบาะแสของซุนเจิ้งเต้า แต่นางเพิ่งจะตัดสินใจไปว่าจะไม่พึ่งพาเสด็จอาเก้า นางต้องการทำทุกสิ่งด้วยตัวเอง นางไม่อยากเป็นเหมือนกาฝากที่หากไม่มีเสด็จอาเก้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้

ประกอบกับนางเพิ่งจะทะเลาะกับเสด็จอาเก้า เช่นนั้นนางจะหาเสด็จอาเก้าที่จวนอ๋องเก้าได้อย่างไร แบบนั้นมันไม่เป็นการทอดสะพานให้เสด็จอาเก้าอย่างนั้นหรือ เรื่องที่โง่เขลาเช่นนี้ นางไม่มีทางทำเป็นอันขาด

ครั้งนี้นางต้องการทำให้เสด็จอาเก้าสำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองทำลงไป การตกหลุมรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แม้ในสายตาของโลก ตัวตนของนางนั้นจะเหมาะสมกับเสด็จอาเก้า แต่เสด็จอาเก้ากลับไม่คิดเช่นนั้น ไม่อาจเป็นเหมือนคนทั้งโลก คิดว่าคนอย่างนางเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่เหมาะสมกับเขา

นางรักเสด็จอาเก้าสุดหัวใจ เชื่อใจในตัวของเสด็จอาเก้า เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอาเก้า นางไม่เคยปกปิดอะไรทั้งนั้น เช่นนั้นเสด็จอาเก้าเองก็ควรไว้ใจและให้ความเคารพกับนางเหมือนกัน

นางไม่ได้ต้องการให้เสด็จอาเก้าบอกนางทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยก็อย่าปล่อยให้นางต้องการเป็นคนโง่เขลาเช่นนี้ ยึดติดกับความหวังที่ไม่มีทางเป็นไปได้ รอคอยเสด็จอาเก้าด้วยความโง่เขลา เดิมพันความหวังทั้งหมดไว้กับเสด็จอาเก้า

จะไปถามเสด็จอาเก้าไม่ได้เป็นอันขาด เสด็จอาเก้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปถามคนที่พอจะรู้เรื่องราวอีกคนหนึ่งอย่างจั่วอั้น

แน่นอน ก่อนที่จะถาม เฟิ่งชิงเฉินพูดเรื่องการรับเลี้ยงเด็กออกไปก่อน เนื่องจากเด็กที่ต้องการรับเลี้ยงคือน้องชายของจั่วอั้น นางจำเป็นต้องถามความเห็นของจั่วอั้น

“เจ้าจัดการมันให้เรียบร้อยก็พอแล้ว ทางที่ดี หากเป็นไปได้ก็ให้คนรู้น้อยที่สุดว่าเขาคือน้องชายของข้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้อนไป เขาก็คือน้องชายของเจ้า” จั่วอั้นตอบตกลงโดยไม่ลังเล

ที่เขายอมทุ่มเทมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งหมดก็เพื่อต้องการมอบโอกาสในการมีชีวิตอย่างสง่าผ่าเผยให้กับน้องชายของเขาไม่ใช่หรือ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตอบแทนบุญคุณของเขา เขาจะแสร้งทำเป็นปฏิเสธได้อย่างไร

“เจ้าเห็นด้วยก็ดีแล้ว ข้าให้จิ่นหลิงเป็นคนจัดการ มีตระกูลหวังออกหน้าให้ ตัวตนของเด็กคนนี้จะไม่ถูกผู้ใดสงสัยเป็นแน่” ต่อให้สงสัยก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งโลกต่างรู้จักเด็กคนนี้แล้ว เขาเป็นเด็กที่จวนเฟิ่งของนางรับเลี้ยงไว้

มีคุณชายใหญ่เป็นพยาน แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าสงสัย

“อื้อ” จั่วอั้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มีหวังจิ่นหลิงออกหน้าให้ ถือเป็นประโยชน์ต่อน้องชายของเขา ในที่สุดน้องชายของเขาก็ไม่ต้องใช้ชีวิตเหมือนกับเขาที่ได้แต่อยู่ในความมืดเช่นนี้ตลอดไป

“เจ้าอยากจะตั้งชื่อให้เขาหรือไม่” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าจั่วอั้นนั้นรักและเป็นห่วงน้องชายของเขาผู้นี้มากเพียงใด เพื่อน้องชายของเขา จั่วอั้นถึงขั้นยอมขายแม่ของตัวเอง

ข้อมูลเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ได้มาจากทางด้านขององค์หญิงใหญ่แห่งซีหลิง รวมถึงจดหมายที่ผู้นำตระกูลเซี่ยเขียนถึงองค์หญิงใหญ่

เพื่อน้องชายผู้นี้ จั่วอั้นต้องเสียสละมากเพียงใด และนาง......

นางรู้สึกอิจฉาเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก เขาโชคดียิ่งนักที่มีพี่ชายเช่นนี้ นางเองก็อยากมีพี่ชายดี ๆ แบบนี้เหมือนกัน

จั่วอั้นครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็ตั้งชื่อออกมา “จิน เฟิ่งจิน”

“จินคือหยกที่งดงาม เช่นนั้นก็เรียกเขาว่า เฟิ่งจิน” ความอิจฉาก็ส่วนอิจฉา เฟิ่งชิงเฉินเองก็ชอบเด็กคนนี้มากเหมือนกัน การที่มีเด็กเพิ่มขึ้นมาอีกคน ทำให้จวนของนางครื้นเครงขึ้นไม่น้อย

เมื่อพูดของเรื่องเด็กคนนี้เรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินก็เริ่มถามเรื่องจริงจัง จั่วอั้นเองก็ไม่ได้ปิดบังเฟิ่งชิงเฉิน เล่าเรื่องราวที่ตนเองสืบหามาได้ออกมา

ตระกูลเซี่ยสงสัยว่าซุนเจิ้งเต้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก่อน การหายตัวไปอย่างลึกลับของซุนเจิ้งเต้ายิ่งทำให้ความสงสัยของตระกูลเซี่ยเพิ่มมากขึ้น

ก่อนที่ซุนเจิ้งเต้าจะหายไป คนที่เขาใกล้ชิดมากที่สุดก็คือเฟิ่งชิงเฉิน แถมยังฝากฝังต้นกล้าเพียงต้นเดียวของตระกูลซุนคือซุนซือสิงไว้ให้กับเฟิ่งชิงเฉิน ตระกูลเซี่ยจึงสงสัยในตัวตนของเฟิ่งชิงเฉิน จึงเลือกส่งศีรษะของซุนเจิ้งเต้ามาเพื่อทดสอบเฟิ่งชิงเฉิน

น่าเสียดายที่ตระกูลเซี่ยไม่ได้อะไรจากการทดสอบครั้งนี้ เนื่องจากในตอนนั้นเฟิ่งชิงเฉินยังไม่รู้อะไรเลย

“ซุนเจิ้งเต้าเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก่อน?” เฟิ่งชิงเฉินเริ่มรู้สึกมั่นใจ เกรงว่าตระกูลเซี่ยน่าจะค้นพบอะไรบางอย่าง แต่นางไม่กล้าแสดงมันออกมาทางใบหน้า

แม้ว่าจะเชื่อในตัวของจั่วอั้น แต่ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

“ไม่รู้ เรื่องนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ เจ้าสามารถส่งคนไปสืบหาต่อไป” จั่วอั้นไม่ได้อยากรู้อะไรมากมายขนาดนั้น เขาหลับตาลงอย่างมีสติเพื่อจะพักผ่อนกายา

ไม่ว่าจะเป็นนางหรือน้องชายของนางที่เพิ่งรับเลี้ยงมาได้ไม่นาน ทุกคนต่างต้องการคนปกป้องอยู่ข้างกาย

ความแข็งแกร่งของตนเองเริ่มต้นขึ้นอย่างช้า ๆ เฟิ่งชิงเฉินรอแทบไม่ไหวแต่ก็ตัดสินใจว่าเรื่องนี้เอาไว้จัดการหลังจากที่กลับมาจากเป่ยหลิง ไม่รอให้อาการบาดเจ็บที่มือหายดี เฟิ่งชิงเฉินเตรียมตัวที่จะไปตรวจสอบทหารส่วนตัวของนาง

เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นสงสัย เฟิ่งชิงเฉินใช้เหตุผลว่าต้องการออกไปพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายในหมู่บ้าน เช้าตรู่ของฤดูใบไม้ร่วงที่สดชื่น นางจึงพาทหารม้าสิบแปด ทงจือและทงเหยาออกไปที่หมู่บ้านนอกเมือง

ในตอนที่เสด็จอาเก้าได้ยินเรื่องดังกล่าว ถ้วยในมือของเขาก็แหลกละเอียด สายลับที่หลบอยู่ในมุมรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังสั่นเทา ดูเหมือนอากาศกำลังหยุดนิ่ง ทำให้ผู้คนหายใจไม่ออก

โชคดีที่สถานการณ์เช่นนี้เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น เสด็จอาเก้ากลับมาสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว สายลับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ถือว่ารอดไปได้อีกหนึ่งครั้ง!

เขาล้มเหลวหลายครั้งติดต่อกัน นอกจากวันนั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้เห็นหน้าของเฟิ่งชิงเฉินอีกเลย เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะเข้าไปในภวังค์แห่งความคิด เขาใช้วิธีที่ผิดในการจัดการกับเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ?

เมื่อก่อนยังใช้งานได้อยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงไม่สามารถใช้งานได้แล้ว?

น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่สามารถไปพบกับเฟิ่งชิงเฉินได้ ไม่อย่างนั้น......เรื่องบางเรื่อง การพูดคุยซึ่งหน้าอาจจะเป็นประโยชน์และชัดเจนมากกว่า

เสด็จอาเก้าไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งและครุ่นคิดอยู่หลายวันแต่ก็ไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้ เขาทำได้เพียงพักผ่อนอย่างสงบและพักฟื้นจนกว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกลับมาจากหมู่บ้านนอกเมือง

เฟิ่งชิงเฉินเดินไปทางไปหมู่บ้านนอกเมืองนั้นไม่ใช่เพื่อรักษาอาการป่วยหรือฟื้นฟูร่างกาย แต่คิดจะหาโอกาสในการไปดูทหารส่วนตัวของตนเอง แม้ว่าทหารม้าสิบแปดจะเชื่อถือได้ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่กล้าที่จะพาพวกเขาไปในทุกที่ เป้าหมายของทหารม้าสิบแปดนั้นชัดเจนเกินไป หากพาคนพวกนี้ไปด้วย จะทำให้คนอื่นสามารถสะกดรอยตามมาได้ง่าย

คนที่เฟิ่งชิงเฉินอยากจะพาไปด้วยมากที่สุดก็คือจั่วอั้น แต่จั่วอั้นยังต้องพักฟื้นอยู่ในจวนเฟิ่ง ไม่สามารถตามไปด้วยได้...... 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ