"เหตุใดจึงต้องกลัวเล่า? ท่านอ๋องไม่ใช่สัตว์ร้ายหรือหายนะใดสักหน่อย" น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินแม้จะบางเบานุ่มนวล แต่ก็ฟังชัดเจนสดใส ทำให้ซู่ชินอ๋องเข้าใจได้ว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่กลัวเขาจริงๆ และไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ
"น่าสนใจ สมัยนี้หายากนักคนที่ไม่เกรงกลัวข้า เจ้าเก้าน้อยเป็นคนแรกและเจ้าเป็นคนที่สอง" ซู่ชินอ๋องหัวเราะหึๆ ขึ้นมา ทำให้ภายในห้องที่บรรยากาศดูกดดันผ่อนคลายลงทันที
เจ้าเก้าน้อย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเป็นเสด็จอาเก้า เพียงแต่ว่าในจิ่วโจวต้าลู่แห่งนี้ คนที่กล้าเรียกตงหลิงจิ่วแบบนี้มีไม่มาก
ฟู่...... ตี๋ตงหมิงแอบถอนหายใจออกมาแล้วยืดตัวตรงอย่างเงียบๆ คิดไม่ถึงว่าท่าทางของเขาเมื่อครู่นั้นจะถูกซู่ชินอ๋องเห็นเข้า "เจ้าหมอนี่ไม่เอาไหนเสียเลย สู้แม่หนูคนนี้ยังมิได้"
เพราะว่าแรงกดดันส่วนใหญ่ที่ซู่ชินอ๋องปลดปล่อยออกมานั้น มุ่งเป้าไปที่เฟิ่งชิงเฉิน
"ท่านปู่ขอรับ เพราะข้าเคารพท่านไม่ใช่หรือไร" ตี๋ตงหมิงชายหนุ่มรูปร่างกำยำ แต่กลับทำตัวเหมือนลูกแมวเชื่องต่อหน้าซู่ชินอ๋อง
จะทำอย่างไรได้เล่า บิดามารดาของตี๋ตงหมิงจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาถูกซู่ชินอ๋องเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก อีกทั้งให้เงินให้การศึกษา
"แค่กแค่ก......" เฟิ่งชิงเฉินกระแอมออกมาเบาๆ "ท่านซื่อจื่อ ชิงเฉินเคารพท่านอ๋องมากกว่า"
สำหรับตี๋ตงหมิงคนนี้แม้เขาจะรังเกียจนางก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่เงินทองที่จะทำให้ทุกคนชื่นชอบได้ แต่การที่จะเหยียดหยามนาง ด้วยการสรรเสริญเยินยอซู่ชินอ๋องก็เกินไปหน่อย
ตี๋ตงหมิงจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน เขาคิดไม่ถึงว่านางจะกล่าวแทรกแซงขึ้นมาในเวลานี้ จึงทำให้เขาไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมาอธิบายได้ชั่วขณะ
ซู่ชินอ๋องเห็นดังนั้นก็รู้สึกโกรธ "ไป! วิ่งรอบจวนอ๋องหนึ่งร้อยรอบ วิ่งเสร็จเมื่อไรค่อยเข้ามา"
ตระกูลทหารเป็นเช่นไรนะหรือ คงเป็นเช่นนี้นั่นเอง
บทลงโทษในการคัดลอกหนังสือหรือคุกเข่าในห้องโถงบรรพบุรุษเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย หากทำผิดล่ะก็จะลงโทษพวกเขาโดยตรงทางร่างกาย
"ขอรับ" ตี๋ตงหมิงทำสีหน้ามืดมนลงแต่ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดมากกว่านี้ เขาหันหลังออกวิ่งไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดสักคำ แต่ก่อนที่จะออกไปนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบจ้องมองเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้ามองท้องฟ้าทำท่าเหมือนมองไม่เห็น แต่แท้จริงแล้วในใจของนางได้แอบตำหนิว่าจวนซู่ชินอ๋องเล็กเหลือเกิน เมื่อครู่ที่นางมองดูพื้นที่ภายนอก วิ่งหนึ่งรอบหน้าจะกินระยะทางเพียงสามร้อยห้าสิบเมตร หนึ่งร้อยรอบก็คือ......
เฮ้อ...... เอาเถอะ ดูเหมือนวันนี้นางจะใจร้ายไปหน่อย สามหมื่นห้าร้อยเมตร ในวันนี้คาดว่าตี๋ตงหมิงคงจะเหนื่อยพอควร
เฟิ่งชิงเฉินชื่อว่าเขาจะออกไปวิ่งอย่างซื่อสัตย์ เพราะการปฏิบัติตามคำสั่งเป็นข้อบังคับของทหาร
"คาดไม่ถึงว่าแม่หนูจะใจแข็งเช่นนี้ ไม่เอ่ยปากร้องขอแทนเขาหน่อยหรือ?" ซู่ชินอ๋องยังคงปวดฟันดังเดิม แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีรีบร้อนและไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
"ท่านอ๋องล้อเล่นหรือเพคะ ชิงเฉินต่ำต้อยยิ่งนัก จะกล้าร้องขอเพื่อท่านซื่อจื่อได้อย่างไร?"
หึๆ…… หวังจิ่นหลิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีด้านที่ไร้ยางอายเช่นนี้
ซู่ชินอ๋องเองก็ตกตะลึงเช่นกัน "แม่สาวน้อยช่างน่าสนใจยิ่งนัก สามารถกล่าวว่าตนมีตัวตนที่ต่ำต้อยได้อย่างสง่าผ่าเผย หากข้าให้โอกาสเจ้าร้องขอโอกาสเพื่อซื่อจื่อเล่า?"
ไม่ใช่ว่าซู่ชินอ๋องต้องการจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินลำบากใจ แต่เป็นดั่งที่ตี๋ตงหมิงคิด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรักษาอาการป่วย ของซู่ชินอ๋องได้ หากนางคิดฆ่าชินอ๋องขึ้นมาเล่า?
การที่หมอจะฆ่าใคร อาวุธนั้นมักมองไม่เห็น หากไม่ครุ่นคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ซู่ชินอ๋องจะกล้าใช้นางหรือ
"ไม่เพคะ" เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
"เหตุใดเล่า?" ซู่ชินอ๋องรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับฟังออกถึงความอาฆาตจากประโยคนั้น
เฟิ่งชิงเฉินแอบคิดอยู่ในใจว่า คนเราเมื่อแก่เฒ่าไปก็เป็นดุจดั่งจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ กล้าได้กล้าเสีย ช่างเก่งกาจเสียจริง
ในตอนแรก เขาใช้คำพูดข่มขู่ให้นางกลัว จากนั้นก็ยิ้มขึ้นในประโยคต่อมา เพื่อทำให้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย เพียงแค่เป็นมนุษย์ล้วนถูกเขาทำเสียแทบคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นการระมัดระวังตัวหรือการป้องกันตัว ทุกอย่างล้วนถูกปล่อยวาง
ฟู่……
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แม้นางจะเข้าใจว่าการให้การรักษาต่อหัวหน้าหรือชนชั้นสูงดูเหมือนจะได้รับเกียรติ แต่แท้จริงแล้วช่างอันตรายยิ่งนัก ทว่านางไม่เคยรู้ว่าจะอันตรายดังนี้
หากว่าในวันนี้เกิดปัญหาขึ้นสักเล็กน้อย คาดว่าคงจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดทันที
การที่ซู่ชินอ๋องจะฆ่านาง ไม่แตกต่างจากการบี้มดตัวหนึ่ง
เนื่องด้วยต้องเข้าใกล้ซู่ชินอ๋องเพื่อดูอาการ ประกอบกับซู่ชินอ๋องค่อนข้างระมัดระวังนาง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าทำท่าทีใดๆ ที่น่าสงสัย ด้วยเหตุนี้กระเป๋าแพทย์อัจฉริยะจะนำออกมาใช้ไม่ได้เด็ดขาด นางทำได้เพียงใช้ความรู้และประสบการณ์เท่านั้น
ในเมื่อปวดฟัน แน่นอนว่าจะต้องตรวจดูช่องปาก เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า "ท่านอ๋อง ข้าอยากขอให้คนไปจัดเตรียมกระจกเล็กๆ สุราร้อนและตะเกียบคู่หนึ่งมาได้หรือไม่ หากเป็นไปได้ ข้าอยากจะได้หินเรืองแสงจุดเพื่อส่องสว่างอีกหนึ่งดวง"
"ไปเอามาเถิด" ซู่ชินอ๋องรู้สึกสงสัยแต่เขาก็ไม่ได้ถามว่าจะเอามาทำอะไร เขารอให้เฟิ่งชิงเฉินอธิบายกับตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่มีทีท่าที่จะอธิบายใดๆ ออกมา
ดูเหมือนซู่ชินอ๋องจะเป็นครั้งแรกที่พบกับหมอเช่นนี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
เฟิ่งชิงเฉินรู้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น นางก้มหน้ามองปลายเท้า ส่วนหวังจิ่นหลิงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเพื่อซ่อนรอยยิ้มในดวงตาของตน
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่ถูกเอาเปรียบแล้วจะอดทนอดกลั้นเอาไว้
สุภาพบุรุษจะแก้แค้นรออีกสิบปีก็ไม่สาย แต่เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่แก้แค้นทุกเมื่อเมื่อมีโอกาส
ขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังรอคนรับใช้นำของมาให้ องค์จักรพรรดิที่ประทับอยู่ในพระราชวังก็ได้ยินข่าวที่เฟิ่งชิงเฉินเดินทางไปรักษาอาการซู่ชินอ๋อง
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้วเข้าหากัน แววตาเต็มไปด้วยความโกรธกำพระหัตถ์เอาไว้แน่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ไม่ต่อให้จบเหรอคะ นานแล้ว แวะมาบอกกล่าวกันบ้าง...
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...